เป่าเซิงตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด เจ้าแมลงเม่าสีเลือดบินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ชิงซวีจื่อกลับปรายตามองนางอย่างเย็นชา ไม่มีท่าทีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ นางผลักเขาออกไปอย่างสิ้นหวัง แล้วโอบกอดความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ด้วยการวิ่งหนีไปทางประตูใหญ่
แต่ว่าต่อให้นางวิ่งเร็วมากเพียงใด มีหรือจะหนีแมลงเม่าสีเลือดที่บินโฉบเฉี่ยวไวปานสายฟ้าได้ พริบตานั้นเมื่อแมลงเม่าสีเลือดไล่ตามนางทัน มันก็ฝังตัวเข้าไปในร่างกายของนาง
ชิงซวีจื่อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “เคราะห์กรรมจากฟ้ายังหลีกหนีพ้น เคราะห์กรรมจากมือตนไม่อาจหลีกหนี! ตั้งแต่ที่เจ้าใช้กู่ทำร้ายผู้อื่นนั้น ก็ควรคิดไว้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้!”
แม้แมลงกู่สีทองจะเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว แต่พิษของมันยังไม่กำเริบในทันทีทันใด ความหวังที่ดับมอดไปของเป่าเซิงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางคลานเข่ามาหยุดตรงหน้าชิงซวีจื่อ โขกศีรษะโดยแรงพลางเอ่ยขอร้อง
“ท่านนักพรต ข้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิด ข้าไม่มีเจตนาทำร้ายใคร ความจริงแล้วสาวใช้นางนั้นบังเอิญมาเห็นข้าใช้กู่กับคุณชายหลิน นางข่มขู่ข้าว่าจะเปิดโปงเรื่องนี้ คอยรีดไถเงินไม่หยุดหย่อน ข้าก็จนปัญญาเหลือเกินแล้วถึงได้ลงมือทำร้ายนาง หลังเกิดเรื่องข้าก็รู้สึกเสียใจมาตลอด ท่านนักพรต ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านมีพลังตบะลึกล้ำ มีจิตใจเมตตากรุณา ได้โปรดสร้างกุศล ช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
อวิ๋นเสาเจอภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไป พอได้ยินคำสารภาพนี้เข้าก็เอ่ยปากด้วยความหวาดผวาว่า “ที่แท้…เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้ว เจ้าถึงขั้นใช้กู่กับคุณชายหลิน…”
เป่าเซิงหันขวับไปหาอวิ๋นเสาด้วยแววตาอาฆาตแค้นโดยพลัน “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตำหนิข้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร เทศกาลจงชิวปีที่แล้วพวกเราออกไปเดินเล่นกัน ทั้งที่ข้าเจอกับคุณชายหลินก่อน เพราะอะไรเจ้าถึงจงใจเข้าไปประจบฉอเลาะเขาเช่นนั้น เจ้ามีแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดื้อรั้นชอบเอาชนะมาแต่ไหนแต่ไร ต้องแก่งแย่งชิงดีกับข้าไปทุกเรื่อง เมื่อก่อนข้าจะไม่ถือสา แต่เพราะอะไรแม้แต่คุณชายหลินเจ้าก็ไม่ยอมปล่อย”
“เจ้าก็เลยใช้กู่แย่งเขา?” ชิงซวีจื่อมองเป่าเซิงอย่างเย็นชา “ถึงขั้นใช้กู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง?”
พิษกู่ในร่างเป่าเซิงกำเริบขึ้นมาแล้ว ตรงหางตาเริ่มมีเลือดไหลซึมให้เห็น ในท้องราวกับมีพลังมหาศาลสร้างความปั่นป่วน นางยิ่งแตกตื่นลนลาน สะกดกลั้นความเจ็บปวดคว้าแขนเสื้อของชิงซวีจื่อเอาไว้
“ท่านนักพรต รีบช่วยข้าเร็วเข้า วันหน้าข้าจะไม่ทำร้ายใครอีกแล้ว ข้าก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านมีจิตใจเมตตากรุณา ทนเห็นข้าตายอย่างอนาถแทบเท้าตัวเองได้หรือ”
ชิงซวีจื่อลอบทอดถอนใจ เดิมทีเขาแค่อยากใช้แมลงกู่ไปชี้ตัวผู้ใช้มัน ใครจะคาดคิดว่าพิษกู่จะร้ายกาจจนย้อนกลับมากลืนกินผู้ใช้กู่เสียเอง เป่าเซิงก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว เกรงว่าแม้แต่เทพเซียนก็ช่วยนางไม่ได้
เขาใช้คาถาชำระจิตลองช่วยเป่าเซิงสกัดพิษกู่ในร่าง แต่ใบหน้าของเป่าเซิงกลับยิ่งแห้งเหี่ยวและดำคล้ำลงไปทุกที หมดหนทางจะเยียวยาได้อีก
เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ กดเสียงลงต่ำถามเป่าเซิงว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใช้กู่อีกสองคนเป็นใคร อยู่ที่ใด”
สีหน้าของเป่าเซิงราวกับมีสติแจ่มชัดในพริบตา “แค่บอกท่านนักพรต ท่านก็จะยอมช่วยข้าใช่หรือไม่”
ชิงซวีจื่อได้แต่นิ่งเงียบ เขาไม่อาจตัดใจหลอกคนที่กำลังจะตายได้
เป่าเซิงยังไม่ยอมละทิ้งความหวัง อดทนกับความเจ็บปวดทรมานที่กัดกินกระดูก เค้นเรี่ยวแรงเอ่ยอย่างไม่ปะติดปะต่อว่า “ยังมีผู้ใช้กู่อยู่ที่…ต้า…”
ทว่านางยังกล่าวไม่ทันจบ ประกายแสงสุดท้ายในดวงตาก็พลันมืดสนิท ราวกับเปลวเทียนกลางสายลมที่ดับวูบไปอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงตกอยู่ในความมืดมนอนธการไร้ที่สิ้นสุด
ฉวีชิ่นเหยามองดูใบหน้างดงามบอบบางดั่งบุปผาเมื่อครู่ต้องมาแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตา แม้ว่าจะเป็นเพราะก่อกรรมทำเข็ญเอง ก็อดเศร้าสลดใจไม่ได้อยู่ดี
ภายในห้องบรรยากาศเงียบสงัด แต่ไม่นานก็เริ่มมีคนร้องไห้เพราะทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเสียงสะอึกสะอื้นค่อยๆ ดังไปทั่วบริเวณ ฉวีชิ่นเหยาเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องประหลาดใจว่าคนที่ร้องไห้เสียใจหนักที่สุดก็คืออวิ๋นเสา
ชิงซวีจื่อสวดคาถาส่งวิญญาณให้เป่าเซิงแล้วลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ย
“แมลงกู่ในร่างเป่าเซิงตายไปแล้ว แมลงกู่ตัวที่สองคงจะแผลงฤทธิ์กับร่างผู้ใช้ในเร็ววันนี้ แล้วอีกไม่นานคงจะมีคนตายอย่างอนาถอีก เวลาไม่คอยท่า พวกเราต้องรีบตามหาผู้ใช้กู่คนที่สองโดยด่วนที่สุดถึงจะถูก”