ระหว่างเดินทางกลับอารามชิงอวิ๋น ชิงซวีจื่อถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ ‘เคียงคู่นิรันดร์’ ร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ทั้งที่วิชากู่หายไปจากแผ่นดินนับร้อยปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป่าเซิงไปได้มาจากที่ใดกัน”
ฉวีชิ่นเหยาถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ แล้วเพราะอะไรวิชากู่ถึงได้มีชื่อเรียกว่าเคียงคู่นิรันดร์ล่ะเจ้าคะ เรื่องนี้มีที่มาจากตำนานอะไรหรือไม่”
ชิงซวีจื่อลูบเคราของตนเองก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง
“วิชากู่นี้เผยแพร่จากชนเผ่าเหมียวเจียง เข้าสู่จงหยวน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ได้ยินว่าหมอผีหญิงคนหนึ่งสร้างกู่ขึ้นมาเพื่อผูกมัดบุรุษในดวงใจ ถ้าหากสตรีนำกู่ฝังเข้าสู่ร่างกาย นอกจากจะล่อลวงจิตใจบุรุษได้แล้ว ยังสามารถใช้กู่ไปทำร้ายผู้อื่นได้ด้วย เป็นกู่สองเพศที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้ เมื่อแพร่มาถึงราชวงศ์ก่อน ในวังหลวงมีนางสนมยอมเสี่ยงใช้กู่ล่อลวงฮ่องเต้เพื่อแย่งชิงความโปรดปราน ฮองเฮาในราชวงศ์ก่อนทราบเรื่องแล้วก็ชิงชังเข้ากระดูกดำ เที่ยวเสาะหาผู้มีฝีมือในใต้หล้าอย่างลับๆ มากำจัดวิชากู่ของนางสนมผู้นั้น หลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนสติก็รู้สึกละอายพระทัยอย่างสุดซึ้ง จึงมีพระบัญชาสั่งกวาดล้างวิชากู่ของหมอผีอย่างเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนต้องโทษประหารล้างตระกูล จากนั้นเพียงแค่สิบกว่าปี วิชากู่นี้ก็ค่อยๆ หายสาบสูญไป”
สร้างขึ้นเพื่อคว้าบุรุษในดวงใจมาให้ได้อย่างนั้นรึ มิน่าเล่าถึงได้ชื่อว่าเคียงคู่นิรันดร์
ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง อดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้ จะต้องเป็นรักที่ไร้ความหวังสักเพียงใดกัน หมอผีหญิงผู้นั้นถึงได้สร้างวิชากู่ที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นออกมาเช่นนี้
ชิงซวีจื่อก็ดูมีท่าทีสะเทือนใจอยู่เหมือนกัน เขาเผยสีหน้าเหยียดหยามพลางเอ่ยว่า “ต่อให้สมดังปรารถนาแล้วเป็นอย่างไร คนที่นางได้ไปก็แค่ร่างกายที่สูญเสียตัวตนไปแล้วเท่านั้น จะว่าไปก็นับเป็นความปรารถนาของผู้ที่ใช้กู่เพียงฝ่ายเดียว ช่างหลอกตัวเองและผู้อื่นโดยแท้”
ระหว่างที่พูดคุยรถม้าก็มาถึงอารามชิงอวิ๋น เพิ่งจะถึงหน้าประตู นักพรตน้อยคนหนึ่งชื่อฝูหยวนก็วิ่งมาหาถึงหน้ารถม้า
“ท่านนักพรต ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้มีจดหมายด่วนแปดร้อยหลี่ จากลั่วหยางส่งมาที่อาราม บนซองจดหมายใช้ตราประทับทางการ เกรงว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบตัวท่าน”
“จดหมายทางการจากลั่วหยาง?” ชิงซวีจื่อหันไปสบตาฉวีชิ่นเหยากับอาหานด้วยความประหลาดใจ แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในอาราม
หลังฉีกซองจดหมายออกอ่าน คิ้วของชิงซวีจื่อก็ขมวดเป็นปมแน่น ที่แท้เมื่อวันก่อนเมืองลั่วหยางเกิดคดีแปลกพิสดารขึ้น ศพไร้หัวที่ตายไปแล้วหลายวันวิ่งมาถึงจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง ตีกลองร้องทุกข์ด้วยตนเอง ท่านเจ้าเมืองทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว ได้ยินว่านักพรตชิงซวีจื่อแห่งเมืองฉางอันมีพลังตบะลึกล้ำ จึงขอเชิญท่านนักพรตเดินทางมาเมืองลั่วหยางอย่างลับๆ ร่วมมือคลี่คลายคดี
ในจดหมายยังเน้นย้ำว่า ‘ขอให้ท่านนักพรตเร่งเดินทางทันที เรื่องสิ้นสุดจะตอบแทนอย่างงาม’
“อาจารย์ พวกเราจะไปหรือไม่เจ้าคะ” ฉวีชิ่นเหยายืนอยู่ด้านหลังชิงซวีจื่อ อ่านจดหมายจบแล้วเอ่ยถามขึ้น
ชิงซวีจื่อเอามือลูบปลายคาง ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็หันไปบอกฉวีชิ่นเหยาว่า “ในจดหมายเขียนมาเสียอันตรายปานนี้ อาจารย์ต้องรีบออกเดินทางทันที เจ้าเพิ่งกลับมาจากเขาหมั่งซาน ถ้าหากติดตามอาจารย์เดินทางข้ามคืนอีกจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป อย่าตามไปเลยดีกว่า…อาหาน ช่วยอาจารย์เก็บข้าวของเร็วเข้า พวกเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้แล้ว”
อาหานนิ่งอึ้ง เขาเงยหน้ามองฉวีชิ่นเหยาอย่างเร็วๆ แวบหนึ่ง เห็นว่าศิษย์น้องไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาถึงวางใจลงได้แล้วลุกขึ้นเอ่ยตอบ “ขอรับอาจารย์”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฉวีชิ่นเหยาก็มาส่งชิงซวีจื่อและอาหานขึ้นรถม้า ชิงซวีจื่อกล่าวกับฉวีชิ่นเหยาด้วยความเป็นห่วง
“ช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่ในฉางอัน ถ้าหากมีเบาะแสของผู้ใช้กู่อีกสองคน เจ้าอย่าวู่วามเป็นอันขาด ทุกอย่างรออาจารย์กลับจากลั่วหยางก่อนค่อยว่ากัน”
เขารู้ดีว่าฉวีชิ่นเหยาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ทำอะไรรอบคอบรัดกุม แต่ว่าอย่างไรก็อายุยังน้อย พลังตบะก็ยังอ่อนด้อย ถ้าหากบังเอิญพบผู้ใช้กู่ขึ้นมา เขากลัวว่าฉวีชิ่นเหยาจะรับมือไม่ไหว ย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้
ฉวีชิ่นเหยาเห็นชิงซวีจื่อระมัดระวังเช่นนี้ นางก็รีบพยักหน้ารับ “ข้ารู้แล้ว อาจารย์วางใจเถิด”