ลิ่นเซี่ยวเพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนักหานหยวนก็มีขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มใหญ่เข้ามาโอบล้อมอย่างรวดเร็ว แต่ละคนมีสีหน้าแช่มชื่นยินดี ทยอยเข้ามากล่าวอวยพรกับเขา
“ยินดีกับซื่อจื่อที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งท่านเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้”
“ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรเฉียบคมมาแต่ไหนแต่ไร ซื่อจื่อนับว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มจริงๆ”
เสียงกล่าวอวยพรดังขึ้นไม่หยุดหย่อนเหล่านี้ สำหรับลิ่นเซี่ยวแล้วรู้สึกเพียงว่าน่าหนวกหูน่ารำคาญยิ่ง เขาอดทนไว้แล้วคารวะตอบกลับทีละคน กว่าจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เจี่ยงซานหลางเข้ามาตบไหล่ลิ่นเซี่ยวพลางลอบยิ้มขบขัน “เล่ามาเถอะ ครั้งก่อนออกจากฉางอันไปช่วยเสด็จลุงของเจ้าทำอะไรมา ทำให้เขาดีใจถึงเพียงนี้ พอกลับบ้านมาก็ให้เจ้าเป็นแม่ทัพทหารองครักษ์ฝ่ายใต้”
ลิ่นเซี่ยวมองเจี่ยงซานหลางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อยากรู้มากหรือ”
เจี่ยงซานหลางชะงักฝีเท้า รอคอยประโยคถัดไปของลิ่นเซี่ยว
“ยกม้าจื่อซิงจากแคว้นต้าหว่านให้ข้าสิ แล้วข้าจะบอกเจ้า!”
เจี่ยงซานหลางทั้งหงุดหงิดทั้งขบขัน “เจ้าทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมบอกไปเถอะ ถ้าหากข้าอยากจะรู้อะไรแล้วก็ต้องได้รู้ทั้งนั้น”
พอเห็นลิ่นเซี่ยวเตรียมก้าวเท้าเดินจากไป เขาก็ได้แต่ปล่อยวาง “ได้ๆ เจ้าไม่บอกก็แล้วไป วันนี้น้องชายอย่างเจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง พี่ชายอย่างข้าก็ต้องจัดงานเลี้ยงฉลอง พวกเราไปหอรื่อเฉิงดื่มกันสักจอก”
ลิ่นเซี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ดื่มสุราก็ดื่มสุรา จะทำให้วุ่นวายเกินเหตุไปไย เจ้าเป็นพี่ชายประสาอะไร”
ฉางหรงเดินตามหลังคนทั้งสอง ถอนหายใจติดกันด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อใดที่เจ้านายทั้งสองเลิกตีฝีปากปะทะคารม ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว
ลิ่นเซี่ยวมาที่หอรื่อเฉิงกับเจี่ยงซานหลาง พอหลงจู๊เห็นว่าคนทั้งสองเป็นผู้สูงศักดิ์ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองฉางอัน ก็รีบปั้นหน้ายิ้มแย้มเข้ามาเชิญพวกเขาขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวข้างบน
หอรื่อเฉิงตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ตงอู่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองฉางอัน ไม่ต้องเอ่ยถึงหอสุราร้านน้ำชาบนถนนสายใหญ่นี้ ยังมีร้านเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับล้ำค่าไม่น้อย ผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่เป็นปกติ บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง
คนทั้งสองสั่งสุราอาหารเรียบร้อยแล้วก็สั่งผู้ติดตามให้เปิดหน้าต่าง มองทิวทัศน์ภายนอกไปตามอารมณ์ บังเอิญว่าวันนี้ตรงกับวันที่สาม เดือนสาม เป็นเทศกาลหญิงสาว* บนท้องถนนมีเด็กสาวแต่งกายสดใสสวยงามออกมาเดินเที่ยวเล่น
ฝั่งตรงข้ามมีร้านขายอัญมณีแห่งหนึ่งชื่อหอไจเยวี่ย เครื่องประดับในร้านนี้ทำได้ประณีตสูงค่ากว่าร้านอื่น สตรีชั้นสูงในเมืองฉางอันต่างนิยมชมชอบ เจี่ยงซานหลางมองไปทางรถม้าที่จอดหน้าหอไจเยวี่ยหลายคันโดยไม่ตั้งใจ เขาตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามหลงจู๊ว่า “วันนี้มีเทศกาลอะไรกัน เหตุใดบนท้องถนนมีผู้คนมากมายนัก”
หลงจู๊มองตามสายตาของเจี่ยงซานหลางออกนอกหน้าต่างไปพลางเอ่ยตอบยิ้มๆ “วันนี้เป็นเทศกาลหญิงสาวขอรับ ดูท่าคงมีแม่นางน้อยจำนวนมากออกมาเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับ”
“เทศกาลหญิงสาวอย่างนั้นหรือ” เจี่ยงซานหลางมีสีหน้าคิดใคร่ครวญ แล้วเงยหน้าสั่งกำชับหลงจู๊ว่า “เจ้าไปหาหลงจู๊หอไจเยวี่ย ให้เขาเลือกเครื่องประดับที่ภาคภูมิใจที่สุดมาสักหลายชิ้นแล้วรีบมาพบข้าโดยเร็ว”
หลงจู๊ยิ้มด้วยความเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยปากรับคำสั่งเดินจากไป
ลิ่นเซี่ยวช้อนสายตามองเจี่ยงซานหลาง “ทำไมรึ ยอมสละทองคำเพื่อแลกหนึ่งรอยยิ้มคนงาม?”
เจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วขึ้น ตอบอย่างไม่สนใจไยดีว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
ลิ่นเซี่ยวหัวเราะพลางขยับร่างเอนพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “อัญมณีในหอไจเยวี่ยราคาสูงมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน ปิ่นประดับมุกชิ้นเดียวก็ราคาเท่ากับคฤหาสน์ในเมืองฉางอันครึ่งหลัง เจ้าเอาใจใส่อาเมี่ยวคนนั้นไม่ธรรมดาเลยนะ”
เจี่ยงซานหลางยังมองออกไปนอกหน้าต่าง นิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของข้าให้มากนักเลย เจ้าดูข้างล่างนั่น สตรีที่เพิ่งลงจากรถม้าเมื่อครู่ใช่มารดาเลี้ยงเจ้าหรือไม่”
ลิ่นเซี่ยวได้ยินดังนั้นก็มองตามลงไปด้านล่าง เห็นชุยซื่อสวมชุดหรูหราสะดุดตา เกาะมือของสาวใช้เดินลงมาจากรถม้าของวังหลันอ๋อง คาดว่าคงมาซื้อเครื่องประดับที่หอไจเยวี่ยเหมือนกัน