ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 4
เพียงชั่วพริบตาในสวนดอกไม้ก็เหลือเพียงฉวีชิ่นเหยา ลิ่นเซี่ยว เจี่ยงซานหลาง และองครักษ์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งของจวนหลูกั๋วกงไม่กี่คน
หลูกั๋วกงหยุดขับขานบทเพลงละคร หันหน้ามามองฉวีชิ่นเหยาอย่างเย็นชา ผ่านไปพักใหญ่มุมปากจึงยกโค้งขึ้นเล็กน้อย แค่นเสียงขึ้นจมูกคล้ายบุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิง
ฉวีชิ่นเหยาหรี่ตามองให้แน่ใจและไม่เสียเวลาพูดจาพร่ำเพรื่อ หยิบยันต์ชำระจิตออกมาจากอกเสื้อ ตะโกนออกมาคำหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกยาว พุ่งทะยานไปข้างหน้า มุ่งไปตามทิศทางที่หลูกั๋วกงไป
ลิ่นเซี่ยวเคยเห็นฝีไม้ลายมือของฉวีชิ่นเหยามาก่อนแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเหลือเชื่อเหนือความคาดหมาย ทว่าเจี่ยงซานหลางกลับร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
ฉวีชิ่นเหยาทะยานมาอยู่เบื้องหน้าหลูกั๋วกง เอายันต์ชำระจิตแปะที่หน้าผากของเขาอย่างว่องไวพร้อมร่ายคาถากำกับ “เผยตน!”
เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือ บีบให้ปีศาจร้ายออกมาจากร่างหลูกั๋วกง
หลูกั๋วกงปล่อยให้ฉวีชิ่นเหยาทำทุกอย่างตามใจด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จนกระทั่งการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของนางสิ้นสุดลง เขาก็หลุดหัวเราะเย้ยหยัน ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาฉีกยันต์ลงคาถาของฉวีชิ่นเหยาเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนาง
เขามองฉวีชิ่นเหยาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะมีพลังตบะร้ายกาจสักเพียงใดกันเชียว ที่แท้ก็แค่การละเล่นหลอกเด็กนี่เอง” พอพ่นลมหายใจแผ่วเบา แผ่นยันต์ในฝ่ามือก็กลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา
ฉวีชิ่นเหยายังไม่ทันจะตอบโต้กลับ หลูกั๋วกงสีหน้าอำมหิตขึ้นมาโดยพลัน กรงเล็บหงิกงอเป็นตะขอ เหวี่ยงเข้าใส่ฉวีชิ่นเหยารวดเร็วฉับพลัน “ไม่เจียมตัว! รนหาที่ตาย!”
ฉวีชิ่นเหยาตื่นตระหนกสุดขีด รีบเค้นพลังทั้งหมดหงายไปด้านหลัง หลบกรงเล็บนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด
ทว่าด้านหลังไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเอาไว้ นางร่วงดิ่งลงมาจากต้นไม้สูงเสียดฟ้าเหมือนตีลังกากลับหัวกลับหาง เสียงสายลมคำรามกึกก้องและเสียงกิ่งไม้หักอย่างต่อเนื่องดังอยู่ข้างหู หัวใจของนางเต้นกระดอนขึ้นมาเกือบถึงคอหอย แต่ไม่อาจรวบรวมกำลังภายในและใช้วิชาตัวเบาได้ ทำได้เพียงอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ไขว่คว้าอย่างสะเปะสะปะ สุดท้ายก็คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งเอาไว้ได้อย่างน่าหวาดเสียว
กิ่งไม้นั้นบอบบางราวแขนเด็กทารก จะแบกรับน้ำหนักร่างฉวีชิ่นเหยาที่ร่วงลงมาได้อย่างไร ชั่วอึดใจเดียวก็ส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะแล้วหักครึ่งอีกครั้ง
โชคดีที่ได้กิ่งไม้กิ่งนี้ชะลอแรงปะทะเอาไว้บ้าง ฉวีชิ่นเหยาจึงสามารถรวบรวมกำลังภายในได้ใหม่ เมื่อร่วงถึงพื้นดินแล้วคงจะโซเซไม่น้อย ตอนนี้เองมีคนผู้หนึ่งยื่นแขนออกมาได้รวดเร็วทันเวลา ประคองนางเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
ฉวีชิ่นเหยาที่ยังตื่นตกใจไม่หายเงยหน้ามอง ก็เห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าซีดเผือด สองมือคว้าหัวไหล่ของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงร้อนรนยิ่ง “เจ้าไม่เป็นไรนะ”
เขาอยู่ใกล้นางมากเหลือเกิน กลิ่นอายสดชื่นสะอาดสะอ้านของชายหนุ่มโชยมาปะทะจมูก ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้แค่คืบ ผิวของเขาเรียบเนียนดั่งหยกเนื้อดี หน้าผากขาวหมดจดมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย นัยน์ตาสีดำแวววาวราวอัญมณี ฉวีชิ่นเหยาถึงขนาดมองเห็นเงาร่างของตนเองในนั้นได้ชัดเจน
ฝ่ามือของเขายังจับหัวไหล่นางเอาไว้ไม่คลาย ความร้อนจากฝ่ามือส่งผ่านทะลุเสื้อผ้าลงมา ใบหน้าของนางแดงเรื่อโดยพลัน รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดิ้นรนหลุดพ้นฝ่ามือของลิ่นเซี่ยวอย่างไร้มารยาทไปบ้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร”
ลิ่นเซี่ยวรู้สึกคล้ายโดนตบหน้าฉาดหนึ่ง ยกสองมือขึ้นกลางอากาศอย่างเก้อกระดาก นิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เก็บมือกลับไปอย่างรวดเร็ว มองฉวีชิ่นเหยาด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก
สีหน้าของเด็กสาวกลับแดงก่ำยิ่งกว่าเขา ไม่สิ ไม่ใช่แค่ใบหน้าแล้ว แม้กระทั่งติ่งหูขาวผ่อง ลำคอก็อาบย้อมด้วยสีแดงจางๆ ชั้นหนึ่ง สีหน้าท่าทางอาจเรียกได้ว่ากระบิดกระบวน ต่างจากความเปิดเผยเป็นธรรมชาติอย่างที่ผ่านมายิ่ง
ดูเหมือนจะมีสัดส่วนความเหนียมอายมากกว่ารังเกียจ…
เขาตกตะลึงและยินดีกับการค้นพบโดยบังเอิญนี้อย่างประหลาด “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เพราะยังรู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เขาเงยหน้ามองหลูกั๋วกงอย่างลำบากใจ “เมื่อครู่นี้เสี่ยงอันตรายเกินไป เจ้ารออยู่ที่นี่ไม่ต้องไปที่ใด ข้าจะไปล่อเขาลงมาเอง”
ไม่รอให้ฉวีชิ่นเหยาว่ากล่าวอะไร เขาก็ชักกระบี่ชื่อเซียวออกมา กระโดดเพียงแผ่วเบาก็ทะยานตัวขึ้นต้นไม้ไป
วิชาตัวเบาของเขาล้ำเลิศยิ่ง ท่วงท่างดงาม ไม่กี่อึดใจก็กระโดดขึ้นมาถึงยอดไม้
ตอนนี้จิตใจของฉวีชิ่นเหยาสงบนิ่งเป็นปกติ เห็นว่าลิ่นเซี่ยวเหาะเหินถึงตัวหลูกั๋วกงในพริบตา นางจะห้ามก็ไม่ทัน ใคร่ครวญดูแล้วก็รีบร้อนปลุกเร้ากำลังภายใน กดเสียงลงต่ำท่องคาถา เมื่อกระดิ่งกลืนวิญญาณตรงหน้าอกตอบสนองกับคาถาก็เปล่งแสงสว่างโชติช่วงโดยพลัน ฉวีชิ่นเหยาคำรามออกมา “ไป!”
มังกรไฟสามตัวถูกปลดปล่อยออกมาจากกระดิ่งทันที เพียงไม่นานก็ไล่ตามลิ่นเซี่ยวไป เลื้อยคดเคี้ยวพัวพันอยู่กับร่างกายของเขา คุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนา
เดิมทีแววตาคมกริบของหลูกั๋วกงก็จ้องมองลิ่นเซี่ยวอยู่แล้ว เมื่อกระบี่วิเศษพุ่งมาใกล้ถึงตรงหน้า ตัวกระบี่เปล่งรัศมีร้อนแรง เขาไม่ทันระวังตัว แววตาเผยความหวาดหวั่น ไม่ต้องรอให้กระบี่เข้าประชิดก็รีบกระโดดผลุงตัวลอย หลบคมกระบี่ไปอย่างหวุดหวิด
ลิ่นเซี่ยวไม่มีเจตนาจะทำร้ายหลูกั๋วกง เพียงแค่จะใช้กระบี่หยั่งเชิงเขาแล้วถือโอกาสล่อให้ลงจากต้นไม้ไปเท่านั้น
พอเห็นหลูกั๋วกงมีท่าทีหวั่นเกรงกระบี่เล่มนี้ดังคาด เขาจึงมั่นใจขึ้นมา ขณะกำลังขบคิดหาวิธี ใครจะรู้ว่าหลูกั๋วกงกลับอ้อมกิ่งไม้มาอยู่ด้านหลังเขาราวภูตผี ลงมือรวดเร็วฉับไว นิ้วมือดุจกรงเล็บพุ่งออกไปจะคว้าหัวไหล่ลิ่นเซี่ยว
โชคดีมังกรไฟที่ฉวีชิ่นเหยาเรียกออกมาเหาะมาถึงทันเวลา คุ้มกันร่างของลิ่นเซี่ยวเอาไว้ได้