“ช้าก่อน” ฉวีชิ่นเหยายิ้มกว้างพลางเดินมาขวางทางเจี่ยงซานหลาง “คุณชายสาม วันนี้ท่านก็เห็นความร้ายกาจของปีศาจตนนั้นแล้ว แม้กระทั่งหลูกั๋วกงยังถูกพวกมันควบคุม วิธีการเรียกได้ว่าพลิกแพลงหลากหลาย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้แม่นางท่านนี้อยู่ที่นี่ด้วยจะดีที่สุด”
“เจ้า…” เจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วขึ้น เตรียมพร้อมจะบันดาลโทสะ
“น้องสาม นักพรตหยวนเจินกล่าวมาใช่ว่าจะไร้เหตุผล” บุรุษที่ดูค่อนข้างอาวุโส ระหว่างคิ้วเผยประกายเฉียบแหลมเอ่ยขัดจังหวะเจี่ยงซานหลาง น้ำเสียงแฝงการเกลี้ยกล่อมตักเตือน “อย่าได้เอาแต่ใจ”
เขากับเจี่ยงซานหลางมีหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง แต่ว่าผิวดำคล้ำกว่า ท่วงทีกิริยาก็ยิ่งสุขุมเยือกเย็นเด่นชัด ดูท่าคงเป็นพี่ชายคนโตของเจี่ยงซานหลาง ซื่อจื่อแห่งจวนหลูกั๋วกงคนปัจจุบันชื่อเจี่ยงฮุยหมิ่นแน่
“ใช่แล้วน้องสาม วันนี้ปีศาจนั่นออกอาละวาดในจวนเราดุร้ายปานนี้ ถ้าหากพลาดพลั้งปล่อยมันหลุดออกไป ไม่รู้ว่าจะก่อหายนะร้ายแรงอะไรอีก ต้องระวังรอบคอบไว้ก่อนจะดีกว่า” คราวนี้คนที่กล่าวคือพี่ชายคนรองเจี่ยงฮุยหง
พี่ชายทั้งสองต่างเอ่ยปาก แม้เจี่ยงซานหลางจะไม่ยินยอมสักเพียงใดก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะพาอาเมี่ยวกลับห้อง
เขาปกป้องอาเมี่ยวไว้ข้างหลัง ยืดอกเชิดหน้ามองฉวีชิ่นเหยาพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะใช้วิธีใดเรียกวิญญาณนั่นออกมา”
ขณะฉวีชิ่นเหยากำลังจะเอ่ยอธิบายก็มีเสียงเอะอะวุ่นวายดังขึ้นโดยรอบ ห้องทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีสตรีกลุ่มหนึ่งประมาณเจ็ดแปดนางเดินเยื้องกรายนวยนาดออกมา แต่ละนางทัดดอกไม้ซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่งกายประทินโฉมอย่างหรูหรา ความงามไม่ด้อยไปกว่าสตรีข้างกายเจี่ยงซานหลางเลย
ฉวีชิ่นเหยาช้อนตาสังเกตพวกนางทีละคน ลอบอุทานชื่นชมอยู่ในใจ จวนหลูกั๋วกงแห่งนี้สมแล้วที่เป็นตระกูลยิ่งใหญ่มานับร้อยปี เพียงแค่คนในเรือนของคุณชายสามท่านนี้ก็อลังการเสียยิ่งกว่าฮูหยินเอกของตระกูลผู้ดีสูงศักดิ์ทั่วไป
“ยังมีใครอยู่ในห้องไม่ออกมาอีกหรือไม่” เจี่ยงซานหลางถามหมัวมัววัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแลเรือน
“เรียนคุณชาย พวกเราคนในเรือนจู่ชิ่นมาอยู่ที่นี่ครบถ้วน ไม่มีใครตกหล่นสักคนเดียวเจ้าค่ะ”
เจี่ยงซานหลางหันไปมองฉวีชิ่นเหยา เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญท่านนักพรตเริ่มเลยเถอะ”
ฉวีชิ่นเหยาเหลียวมองไปทั่วเรือนรอบหนึ่งพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่นางทั้งหลายขอเชิญขยับห่างออกไปสักหน่อย เมื่อข้าน้อยสำแดงอิทธิฤทธิ์จะได้ไม่พลาดพลั้งทำให้ทุกท่านต้องบาดเจ็บ”
เหล่าหญิงบำเรอที่ยืนอยู่ได้ยินดังนั้นก็พร้อมใจกันหันหน้าส่งสายตาตัดพ้อไปหาเจี่ยงซานหลางโดยพร้อมเพรียง ยามขยับกายเคลื่อนไหวพาให้ปิ่นมุกปิ่นหยกบนศีรษะกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่วบริเวณ ช่างครึกครื้นเสียนี่กระไร
ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วน้อยๆ
เจี่ยงซานหลางทำราวกับมองไม่เห็นสายตายั่วเย้าส่งความนัยของสาวงาม แต่กุมมืออาเมี่ยวเอาไว้แน่น จูงนางเดินไปหลบอยู่มุมหนึ่งในเรือนที่ห่างไกลออกไป แสดงเจตนาว่าจะดูไฟชายฝั่ง
เหล่าสาวงามต่างกะพริบตาปริบๆ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ จำต้องแยกย้ายกันไปยืนคนละทางด้วยความไม่เต็มใจ
กลางเรือนมีพื้นที่ว่างโล่งกว้างทันตาเห็น
ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ เดินมาตรงกลางเรือน เลือกตำแหน่งที่เหมาะสม ออกคำสั่งเบาๆ ว่า “ไป” แล้วปล่อยมังกรไฟสามตัวออกมาจากกระดิ่งกลืนวิญญาณ
มังกรไฟเหาะวนเวียนเหนือลานกว้างระยะหนึ่งก่อนจะพุ่งตรงลงสู่เบื้องล่าง มังกรทั้งสามตัวรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หยัดยืนบนพื้นดินแล้วกลายร่างเป็นห่วงไฟความสูงเท่าตัวคน
ฉวีชิ่นเหยาชี้ไปทางห่วงไฟที่ทำให้เรือนแห่งนี้สว่างไสวดุจกลางวัน ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของคนทั้งหลาย นางเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือมังกรไฟที่ในอดีตกาลหลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิงหลอมสร้างขึ้นเพื่อกำจัดปีศาจมารร้ายในโลกมนุษย์ สื่อสารกับปีศาจได้ดีที่สุด นอกจากจะเผากายเนื้อของปีศาจทั่วไปให้มอดไหม้ได้แล้ว ยังทำให้จิตวิญญาณของพวกมันแตกสลาย ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกชั่วกาลนาน ถึงได้มีชื่อแสนหยิ่งผยองว่ากลืนวิญญาณ” นางกล่าวพลางกวาดสายตามองผ่านทุกคนอย่างช้าๆ เก็บรายละเอียดสีหน้าของพวกเขาเอาไว้หมด
“แต่สำหรับชื่อเรียกกลืนวิญญาณนั้น มุ่งทำลายเฉพาะวิญญาณของปีศาจมารร้าย ไม่ทำอันตรายมนุษย์แม้แต่นิดเดียว ต่อให้ไม่ทันระวังสัมผัสแตะต้องเปลวไฟของมันเข้าก็ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นอีกสักครู่ทุกท่านในที่นี้จะต้องทำตามที่ข้าบอก เดินข้ามผ่านห่วงไฟนี้ไล่เรียงตามลำดับ เพื่อให้ข้าแยกแยะคนที่โดนปีศาจร้ายสิงสู่ร่างกายได้สะดวก…”
ฉวีชิ่นเหยากล่าวยังไม่ทันจบ ก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายในหมู่คนส่วนใหญ่ เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังระงมทั่วลานกว้าง ทุกคนต่างคลางแคลงสงสัยไม่หาย กายเนื้อของมนุษย์ธรรมดาจะข้ามผ่านเปลวไฟร้อนแรงโดยไร้รอยขีดข่วนได้เช่นไร คำพูดของนักพรตน้อยเป็นเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้
มีสาวใช้ที่อายุยังน้อยหลายคนถึงขนาดร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว