ฉวีชิ่นเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญา เดินมาหยุดตรงหน้ากระดิ่งกลืนวิญญาณก่อนใคร เพียงก้าวเดียวก็ข้ามผ่านห่วงไฟมาได้ นางสะบัดชุดนักพรตของตัวเอง มองคนทั้งหลายในเรือน “เป็นอย่างไร คราวนี้คงเชื่อข้าแล้วกระมัง”
ทุกคนยังคงกระเถิบถอยหนีไม่ก้าวออกมา แววตาแสดงเจตนาปฏิเสธชัดเจน เจ้าเป็นนักพรตน่ะสิ มีพลังอิทธิฤทธิ์คุ้มกาย พวกเราปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร
ลิ่นเซี่ยวยืนอยู่ข้างกายฉวีชิ่นเหยา เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็เอามือถือกระบี่ไพล่หลังไว้ เดินข้ามห่วงไฟอย่างองอาจผ่าเผยให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อทุกคนเห็นว่าลิ่นเซี่ยวนอกจากเสื้อผ้าและกายเนื้อ แม้กระทั่งเส้นผมสักเส้นก็ไม่ได้รับความเสียหาย ในที่สุดก็เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายลง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาลองพิสูจน์
ตอนนี้แม่นางน้อยที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเจี่ยงซานหลางกระตุกเสื้อของเขาด้วยความขลาดกลัว “คุณชาย ห่วงไฟนั่นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน ข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะ…”
เจี่ยงซานหลางรีบเอ่ยปลอบขวัญอย่างนุ่มนวล
ชั่วพริบตานั้นก็เงยหน้ามองฉวีชิ่นเหยาอย่างโกรธเคือง “เจ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไร เหตุใดจะต้องกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัวเช่นนี้ด้วย”
ลิ่นเซี่ยวทนมองเจี่ยงซานหลางวางมาดดุร้ายข่มฉวีชิ่นเหยาต่อไปไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็ไม่คิดจะอดทนอดกลั้นอีก จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ว่ามา ยังมีวิธีใดที่ทั้งไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แล้วก็ค้นหาปีศาจร้ายออกมาได้รวดเร็วทันการณ์”
เจี่ยงซานหลางสำลักคำพูดของตนเองขึ้นมา โกรธจัดเสียจนดวงตาเปล่งประกายวาววับผิดปกติ ใบหน้าของเขาเดิมทีก็ซูบผอมซีดขาวอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายดำทะมึนผิดปกติออกมา
บรรยากาศพลันชะงักงันไปเล็กน้อย
หลังจากเงียบสนิทไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปาก
“น้องสาม เรื่องของปีศาจร้ายไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าก็เห็นแก่ท่านพ่อที่ต้องรับกรรมไปวันนี้เถอะ ตั้งใจเชื่อฟังแผนการของนักพรตหยวนเจิน อย่าดื้อรั้นอีกเลย”
เจี่ยงฮุยหมิ่นผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยขึ้นเช่นนี้ แล้วเดินเข้าใกล้ห่วงไฟที่แผดเผาร้อนแรงพลางสังเกตดูด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ทันใดนั้นก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด “ว่าตามหลักแล้วข้าเดินเข้ามาจากข้างนอกเรือน ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟกลืนวิญญาณเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ในเมื่อทุกคนหวาดกลัวมันนัก ข้าเป็นบุตรชายคนโตของจวนหลูกั๋วกง เรื่องราวทุกอย่างในจวนไม่อาจผลักภาระให้ผู้ใดรับผิดชอบแทนได้ เช่นนั้นก็เริ่มที่ข้าแล้วกัน ลองพิสูจน์ของวิเศษที่ยากจะพานพบสักครั้งชิ้นนี้ดู”
เขาจัดหมวกยศขุนนางให้ตั้งตรง จับชุดหมั่งเผา สีม่วงให้เข้าที่เรียบร้อย เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษผู้กล้าที่ผดุงคุณธรรมไม่รักตัวกลัวตาย ก้าวยาวๆ เดินข้ามห่วงไฟอย่างแน่วแน่ท่ามกลางแววตาซับซ้อนของทุกคน
ฉวีชิ่นเหยาอยากโห่ร้องชื่นชมจนแทบอดใจไม่อยู่ สมแล้วที่เป็นบุตรชายคนโตที่หลูกั๋วกงอบรมเลี้ยงดูมา คุณธรรมน้ำใจและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นหนึ่งเหนือใคร
คุณชายรองเจี่ยงก็ไม่ยอมน้อยหน้า เดินตามหลังพี่ชายคนโตก้าวข้ามห่วงไฟไปติดๆ
เมื่อคุณชายทั้งสองพิสูจน์ด้วยร่างกายตนเองแล้ว คนที่เหลือยังมีข้ออ้างบอกปัดได้อีกหรือ ไม่นานหมัวมัวผู้ดูแลเรือน สาวใช้กลุ่มใหญ่ เหล่าหญิงบำเรอของเจี่ยงซานหลางก็เดินข้ามห่วงไฟมาทีละคน
ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย
สายตาของฉวีชิ่นเหยาจับจ้องไปที่สองคนสุดท้ายในเรือน
เจี่ยงซานหลางมีสีหน้าเขียวคล้ำ “นี่มันเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! อาศัยห่วงไฟประหลาดก็แยกแยะได้หรือว่าใครเป็นมนุษย์ใครเป็นปีศาจ ข้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้เสียอย่าง วันนี้ข้ากับอาเมี่ยวจะไม่มีใครเดินข้ามห่วงไฟไปทั้งนั้น!” เขาหันกายเดินออกไปนอกเรือนพร้อมคว้าตัวอาเมี่ยวไปด้วย
ลิ่นเซี่ยวเข้าไปขวางเจี่ยงซานหลางเอาไว้ “เจ้าเสียสติไปแล้ว? วันนี้ใครเป็นปีศาจแค่มองดูก็รู้แล้ว เจ้ายังกล้าปกป้องนางอีกหรือ!”
เขาลองกระชากตัวเจี่ยงซานหลางจากข้างกายอาเมี่ยว แต่เจี่ยงซานหลางกลับมีเรี่ยวแรงมากจนน่าทึ่ง สลัดหลุดจากมือลิ่นเซี่ยวได้ทันทีพร้อมเอ่ยตอบโต้อย่างเดือดดาล “ใครบอกว่าอาเมี่ยวเป็นปีศาจ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ วันนี้ต่อให้ข้าต้องตายก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าทำร้ายอาเมี่ยวได้แน่!” แววตาเขาเป็นประกายร้อนแรง สีหน้าจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ทุกคนที่อยู่ในเรือนรวมทั้งเจี่ยงฮุยหมิ่นและเจี่ยงฮุยหงต่างตกตะลึง
แปะๆ
ท่ามกลางความเงียบสงัด มีคนปรบมือขึ้นมาโดยไม่รู้กาลเทศะ