“ก่อนหน้านี้บนต้นอู๋ถงในสวนดอกไม้ เจ้าเคยบอกว่าข้าไม่เจียมตัว ตอนนี้ดูแล้วข้าก็ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”
ฉวีชิ่นเหยากล่าวแล้วโบกสะบัดมือเรียกมังกรไฟกลับมา มองอาเมี่ยวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เริ่มจากใช้กู่คนงามล่อลวงอาเมี่ยวให้รับกู่เข้าไปในร่างกาย ค่อยเข้าสิงร่างของนาง ควบคุมเจี่ยงซานหลางเอาไว้ในกำมือชนิดดิ้นไม่หลุด แล้วก็เพราะมีกายเนื้อของอาเมี่ยวคุ้มครอง ทำให้ใครก็ไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายปีศาจของเจ้าได้ เมื่อใดความจริงถูกเปิดเผย เจี่ยงซานหลางก็จะปกป้องเจ้าสุดชีวิต ถึงเจ้าจะจิตวิญญาณแตกสลาย ก็ลากให้เจี่ยงซานหลางตายตกไปตามกันได้ด้วย…”
สายตาของนางจับจ้องที่เส้นสีทองจางๆ บริเวณแขนของอาเมี่ยว กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก ตกลงเจ้ามีหนี้แค้นลึกล้ำอะไรกับหลูกั๋วกงกันแน่ ถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนพวกเขาถึงเพียงนี้”
คำพูดนี้ประหนึ่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา สั่นสะท้านถึงวิญญาณทุกคนในที่นี้ จนพร้อมใจกันเบนสายตาไปมองสาวงามร่างอรชรแลดูบอบบางอ่อนแออย่างตื่นตระหนก
“อะไรนะ อาเมี่ยวเป็นคนบงการเบื้องหลังเรื่องในจวนวันนี้รึ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ฮูหยินของหลูกั๋วกงเดินเข้ามาในเรือนโดยมีบ่าวไพร่ห้อมล้อม และคำพูดเมื่อครู่นี้บังเอิญลอยเข้าหูนางอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เจี่ยงฮุยหมิ่นกับเจี่ยงฮุยหงจะรีบเข้าไปประคอง ทว่าฮูหยินหลูกั๋วกงโบกมือห้ามไว้ นางจับมือของสาวใช้คนหนึ่งไว้แล้วเดินเข้ามาหาฉวีชิ่นเหยาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว
“ที่ท่านนักพรตว่ามาเป็นความจริงหรือ”
“ใช่แล้ว” แววตาฉวีชิ่นเหยาสงบเยือกเย็น น้ำเสียงแน่วแน่มั่นใจ
ฮูหยินหลูกั๋วกงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สะบัดมือของสาวใช้ทิ้งไป ก้าวเดินฉับๆ มาถึงตรงหน้าอาเมี่ยว
‘เพียะ!’ นางตบหน้าอาเมี่ยวเสียงดังกังวานชัด “นางคนชั้นต่ำ! เสียแรงที่ข้าไม่ถือสาเรื่องฐานะของเจ้า ยอมให้ซานหลางรับเจ้าเข้ามาอยู่ในจวน ยังเห็นแก่ความกตัญญูรู้คุณของเจ้า กำชับให้ซานหลางดีต่อเจ้ามากๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าใช้อุบายเลวทรามกับซานหลาง วันนี้แม้กระทั่งหลูกั๋วกงก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย เจ้าช่างบังอาจนัก!”
หลังจากตบไปหนึ่งฉาดก็ไม่รอให้อาเมี่ยวได้ตั้งตัว เข้ากระชากตัวเจี่ยงซานหลาง ใช้กระบวนท่างดงามดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ขยับถอยหนีออกมาหนึ่งจั้งอย่างฉับไว
ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วทั้งเรือน
ทุกคนรวมทั้งอาเมี่ยวที่โดนตบหน้าต่างมองฮูหยินหลูกั๋วกงด้วยความตกใจราวกับเห็นผี
ฝีมือวิชาตัวเบาล้ำเลิศ เก็บงำซ่อนประกายไว้มิดชิด
อารมณ์หุนหันพลันแล่น ลงมือรวดเร็วเฉียบขาด
ปฏิภาณไหวพริบฉวยโอกาสยามเผลอ บรรลุเป้าหมายก็หลบหนี
ฉวีชิ่นเหยามองฮูหยินของหลูกั๋วกงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปทันที
ช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งแห่งยุคโดยแท้!
โอกาสพลิกสถานการณ์มาถึงรวดเร็วเช่นนี้ เมื่อได้ฮูหยินหลูกั๋วกงชิงลงมือ เจี่ยงซานหลางก็ไม่ใช่เบี้ยในกำมืออาเมี่ยวอีกต่อไป เรื่องราวเปลี่ยนไปคลี่คลายง่ายขึ้นในพริบตา!
ใบหน้าของอาเมี่ยวงอง้ำลงเรื่อยๆ ความนุ่มนวลอ่อนโยนที่ประดับใบหน้าทุกขณะจิตอย่างที่ผ่านมาคล้ายว่าโดนผ้าผืนหนึ่งเช็ดหายไปหมดสิ้น กลับมีสีหน้ามืดมนอำมหิตเข้ามาแทนที่ โดยรูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนเดิม แต่ว่าทำให้ผู้คนเชื่อมโยงภาพอาเมี่ยวในตอนนี้กับอาเมี่ยวในวันวานได้ยากแล้ว
เจี่ยงซานหลางดิ้นรนสุดชีวิต “อาเมี่ยวจะเป็นปีศาจไปได้อย่างไร ท่านแม่ อย่าได้ฟังนักพรตคนนี้พูดจาเหลวไหลเลอะเทอะ ข้าอยู่กับอาเมี่ยวตลอดเวลา นางใช่ปีศาจหรือไม่ในใจข้ารู้ดีที่สุด! รีบปล่อยข้าสิ! ท่านแม่!”
เขาหันไปมองอาเมี่ยวด้วยความร้อนรนเหลือประมาณ ดวงตาและจิตใจอัดแน่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว น่าเสียดายที่ช่วงนี้กำลังภายในของเขาอยู่ดีๆ ก็หายไปกว่าครึ่ง ตอนนี้เกรงว่าคนธรรมดาก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ แล้วจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือแน่นหนาดั่งคีมเหล็กของมารดาได้อย่างไร
ลิ่นเซี่ยวทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากำหมัดแน่นแล้วคลายออก พอคลายออกก็กำแน่น คนตรงหน้ายังเป็นเจี่ยงซานหลางที่แสดงฝีมือขี่ม้ายิงธนูได้อย่างโดดเด่นสง่างาม จนคว้าอันดับหนึ่งในหมู่คนหนุ่มผู้กล้าของเมืองฉางอันที่ใดกัน เรียกว่าเป็นเจ้าคนเลอะเลือนที่ปล่อยให้ตัณหาราคะครอบงำมากกว่า!
เขาเหลืออดจนอยากจะออกไปสั่งสอนเจี่ยงซานหลางให้สาแก่ใจสักยก ใครจะรู้ว่าเพิ่งก้าวได้ก้าวเดียวก็ถูกฉวีชิ่นเหยาขวางเอาไว้ นางหันมาทางเขาแล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยเตือน “ไร้ประโยชน์เปล่าๆ ด่าว่าเท่าไรก็ไม่ได้สติหรอก”