กลิ่นอายเย็นเยียบในห้องทวีความเข้มข้นขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่ฉวีชิ่นเหยา แม้กระทั่งหลันอ๋องกับพวกชุยซื่อก็ยังรู้สึกได้
ทันใดนั้นบนพื้นก็มีเสียงซ่าๆ ดังแทรกขึ้นมา
ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น มีคนกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจ
“มัน…มันกำลังขยับ…”
ผ้าม่านสีดำที่ห่อร่างของชุยหลิงหลงไว้คลายออกทีละชุ่น กลุ่มหมอกสีดำสนิทดุจน้ำหมึกค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากห่อผ้าราวกับหนวดปลาหมึกก็ไม่ปาน
ทุกคนต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ฉวีชิ่นเหยาก็ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนจึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
กลุ่มหมอกสีดำนั้นส่งกลิ่นหอมดอกกุ้ยเข้มข้น ตอนแรกลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศโดยไร้จุดหมาย แล้วจึงค่อยๆ รวมกลุ่มกันเป็นร่างมนุษย์สีดำสนิท
“หลิงหลง…” จูฉี่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง
ร่างมนุษย์สีดำสนิทล่องลอยมาอยู่ตรงหน้าจูฉี่เอ๋อร์ เพียงชั่วพริบตาก็กระจายตัวออกกลายเป็นภาพเงาของเด็กสาวที่ยังอ่อนเยาว์ โครงหน้าของนางงดงามได้สัดส่วน เกล้าผมทรงหยวนเป่า ดูท่าทางกำลังก้มหน้าทำงานเย็บปักถักร้อย
ไม่นานก็มีเด็กสาวเกล้าผมทรงมวยคล้อยปรากฏกายอยู่ไกลๆ เดินมาถึงตรงหน้าเด็กสาวผมทรงหยวนเป่าช้าๆ ดึงแขนเสื้อของนางให้ลุกขึ้น
ภาพหมอกดำเปลี่ยนไปอีกครั้ง สะท้อนภาพชิงช้าอันหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งคอยผลักเด็กสาวอีกคนที่กำลังนั่งโล้ชิงช้าอยู่ แม้ว่าจะเป็นภาพเงาลวงตา แต่ก็ชัดเจนทุกรายละเอียด สมจริงมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง กระโปรงหรูฉวิน ของพวกนางโบกสะบัด เสื้อคลุมแขนสั้นที่สวมทับกระโปรงลอยขึ้นรับลมโชยพัดมา ดูเหมือนพวกนางร่าเริงเบิกบานไม่สิ้นสุด
“เป็นจิตแค้นเคืองของชุยหลิงหลง”
ในที่สุดฉวีชิ่นเหยาก็มองออกแล้ว จึงหันไปกระซิบบอกลิ่นเซี่ยวที่อยู่ข้างกายเสียงแผ่วเบา
กลุ่มหมอกสีดำนี้ไม่มีเนื้อหนัง ไม่อาจส่งเสียง ไม่สามารถทำร้ายใครได้ ทำได้เพียงสะท้อนความคิดผ่านภาพลวงตาที่แปรเปลี่ยนไป
เพิ่งจะสิ้นเสียงของนาง กลุ่มหมอกสีดำก็กลับมารวมตัวและแตกกระจายออกอีกครั้ง เด็กสาวทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ดูเหมือนกำลังพูดคุยอย่างสนิทสนมยิ่ง เด็กสาวเกล้ามวยผมทรงห่วงซ่อนแขนข้างหนึ่งไปด้านหลัง เข็มเงินในแขนเสื้อประเดี๋ยวชัดเจนประเดี๋ยวเลือนหาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ด้านหลังเด็กสาวเกล้าผมทรงหยวนเป่า ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังพูดจาปักเข็มเข้าที่หลังคอโดยไม่ทันตั้งตัว
จนถึงตอนนี้ในที่สุดจูฉี่เอ๋อร์ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน นางส่ายหน้าสะอึกสะอื้นโดยไร้เสียง ใบหน้าเปียกชื้นเป็นแถบ แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นความหวาดกลัวหรือความละอายใจ
หมอกดำขยับเข้ามาใกล้จูฉี่เอ๋อร์ ‘เพราะอะไร’ หมอกดำเงียบงันไม่อาจเปล่งเสียง แต่ว่าทุกคนคล้ายจะได้ยินประโยคคำถามนี้ลอยผ่านหู
จูฉี่เอ๋อร์มองผ่านม่านน้ำตาของตนเองอย่างเลือนราง เห็นภาพหลิงหลงกำลังลอยล่องอยู่บนชิงช้าอย่างสนุกสนาน ด้านหลังเป็นกำแพงดินทรุดโทรม แต่ไม่สามารถบดบังกลิ่นอายสดชื่นแจ่มใสดั่งฤดูใบไม้ผลิของเด็กสาวสองคนได้
ในใจนางทั้งหวาดผวาและเศร้าสลด ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของหลิงหลงในภาพลวงตานั้น
“หลิงหลง…” นางน้ำตาไหลพราก พึมพำด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ทันทีที่สัมผัส ใบหน้ากลมอิ่มของเด็กสาวก็สลายหายไป ข้างชิงช้าพลันว่างเปล่า เหลือแค่นางเพียงคนเดียว
นางเหลียวมองรอบกายอย่างสับสน ตื่นตระหนกอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนมือทั้งสองข้างมาที่ลำคอตนเอง ออกแรงบีบเอาไว้แน่น
“แย่แล้ว นางถูกภาพลวงตาที่ชุยหลิงหลงสร้างขึ้นครอบงำจิตใจ…” ฉวีชิ่นเหยารีบก้าวออกไปข้างหน้า ตั้งใจจะเรียกใช้กระดิ่งกลืนวิญญาณ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าดวงวิญญาณของชุยหลิงหลงจะโดนกลืนกินไปเพราะกระดิ่ง จึงหยิบยันต์สยบวิญญาณออกมาแทน
ลิ่นเซี่ยวมองจูฉี่เอ๋อร์บีบคอตนเองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปช่วยเหลือเลยสักนิด
ยันต์ลงคาถาที่ฉวีชิ่นเหยานำออกมาเพิ่งจะแตะหมอกดำ จูฉี่เอ๋อร์ส่งเสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดแล้วก็ล้มลงกับพื้น ทว่าสุดท้ายก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อฉวีชิ่นเหยาเข้าไปตรวจสอบดู นางก็หมดลมหายใจไปแล้ว