ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 4
ระหว่างเดินออกจากวังอ๋อง ฉวีชิ่นเหยาก็ถอนหายใจออกมา
“หมอกสีดำนั้นเป็นจิตแค้นเคืองที่ชุยหลิงหลงสร้างขึ้นหลังจากสิ้นใจไปแล้ว ไม่มีเนื้อหนัง ไม่อาจฆ่าใครได้ จูฉี่เอ๋อร์นั้นเป็นไปได้ว่าคงจะสำนึกเสียใจ ถึงได้ฆ่าตัวตายเพราะความหวาดผวา”
พอนางนึกอะไรบางอย่างได้ ก็กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ “แย่จริงเชียว สุดท้ายก็ไม่ทันได้ถามนางว่าผู้ใช้กู่ ‘เคียงคู่นิรันดร์’ คนที่สามคือใคร น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก”
ลิ่นเซี่ยวมองฉวีชิ่นเหยาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เอ่ยถามว่า “กู่เคียงคู่นิรันดร์ก็คือกู่ที่เจ้าพูดถึงเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่”
ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้า “ผู้ใช้กู่ตอนนี้ถึงแก่ชีวิตไปแล้วสองคน แต่ยังไม่พบเบาะแสของผู้ใช้คนที่สาม ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจ จูฉี่เอ๋อร์เพิ่งมาอยู่ที่ฉางอันได้หนึ่งเดือนเศษเท่านั้น นอกจากวังหลันอ๋องแล้ว แม้กระทั่งญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มี ตกลงนางไปได้กู่มาจากที่ใดกันแน่”
ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว “ตั้งแต่นางมาอยู่ที่วัง ชุยซื่อก็พาออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง สามถนนหกตรอกก็เคยไปเดินเล่นมาไม่น้อย เอาอย่างนี้เถิด ข้าจะให้พวกฉางหรงไปสืบร่องรอยของพวกนางในช่วงไม่นานมานี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพบอะไร”
“เป็นเช่นนั้นคงจะดีที่สุดแล้ว” ฉวีชิ่นเหยายิ้มออกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มของนางสดใสไร้เดียงสา เทียบกับดอกไห่ถัง ในฤดูใบไม้ผลิแล้วยังงามกว่าสามส่วน
หัวใจของลิ่นเซี่ยวคล้ายมีบางสิ่งมาสะกิดจนสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
เขาถอนสายตากลับมาเหมือนกับโดนของร้อนลวก นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ จึงเอ่ยปากอย่างอึดอัดอยู่บ้าง “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว วันนี้ข้าไปรับตำแหน่งใหม่วันแรก จะต้องเข้าวังไปรายงานตัวยามเหม่า เมื่อคืนลำบากเจ้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะให้พวกฉางหรงคุ้มกันเจ้ากลับอารามชิงอวิ๋น”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” ฉวีชิ่นเหยารีบโบกมือปฏิเสธ ชี้ไปทางนอกประตูจวนพลางเอ่ยว่า “เหล่าโจวที่มากับข้ารออยู่ข้างนอก นี่ก็รอข้ามาทั้งคืน ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นห่วงเพียงใด เดี๋ยวข้าคงต้องกลับแล้ว ความหวังดีของซื่อจื่อข้ารับไว้ด้วยใจ”
นางกล่าวจบก็จัดความเรียบร้อยของชุดนักพรต เตรียมสาวเท้าเดินออกไปข้างนอก
ทันใดนั้นฉางหรงไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด ในมือถือกล่องอาหารทำจากไม้ถานสีแดง ยืนส่งยิ้มให้แต่ไกล “ซื่อจื่อ ข้าซื้อผลอิงเถาสดราดนมหมักร้านเต๋อหรงมาแล้วขอรับ เขาเพิ่งจะเปิดร้าน นี่เป็นชามแรกของวันนี้เลย”
หลังใบหูของลิ่นเซี่ยวเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมาโดยพลัน มองฉางหรงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาได้แต่รับกล่องอาหารจากมือฉางหรงมาเงียบๆ และส่งให้ฉวีชิ่นเหยา “เดิมทีควรเชิญเจ้ากินอาหารเช้า แต่ว่าร่างกายของท่านพ่อไม่สู้ดี ข้ายังต้องเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง ผลอิงเถาสดราดนมหมักร้านนี้รสชาติไม่เลว ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจก็รับไปกินรองท้องก่อนเถอะ”
ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อคืนนางช่วยแก้สถานการณ์ให้จูฉี่เอ๋อร์ เคยกล่าวถึงผลอิงเถาสดราดนมหมักของร้านเต๋อหรงว่ารสชาติอร่อย ตอนนั้นก็แค่กล่าวอย่างขอไปที ไม่คิดว่าเขาจะจดจำใส่ใจเช่นนี้ อีกทั้งยังอุตส่าห์ส่งคนไปซื้อกลับมาแต่เช้าตรู่
เมื่อนางเปิดกล่องอาหารก็เห็นข้างในมีถ้วยกระเบื้องสีขาวลายดอกบัววางอยู่ตรงกลาง นมหมักสีขาวราวหยกมันแพะห่อหุ้มผลอิงเถาสีแดงสดปานจะหยดน้ำออกมาได้ ไอร้อนยังลอยกรุ่น ช่างเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเอียงศีรษะประเมินสีหน้าของลิ่นเซี่ยวอย่างละเอียด เห็นเขามีสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ก็รับกล่องอาหารมาโดยไม่เกรงใจ “ขอบคุณซื่อจื่อมากเจ้าค่ะ สำหรับน้ำใจอันประเสริฐนี้ ข้าปฏิเสธก็เท่ากับไม่เคารพแล้ว” นางกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ลิ่นเซี่ยว ก่อนจะประคองกล่องอาหารเดินออกไปนอกวังอ๋อง
ฉางหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้าใจแจ่มแจ้งโดยพลัน มิน่าเล่าซื่อจื่อถึงได้บังคับให้เขาออกไปซื้อผลอิงเถาสดราดนมหมักนั่นแต่เช้าตรู่ วุ่นวายเสียตั้งนานที่แท้ก็ซื้อให้นักพรตหญิงตัวน้อยผู้นี้
ฉางหรงเอามือลูบปลายคาง ใช้สายตาของชายหนุ่มคนหนึ่งมองพิจารณาฉวีชิ่นเหยาเป็นครั้งแรก
รูปร่างรึ ก็งดงามชวนมองอยู่ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่างามล้ำเลิศเหนือผู้ใด เพียงแค่บรรดาสตรีตระกูลใหญ่ที่ไปมาหาสู่กับวังหลันอ๋องบ่อยครั้งก็มีไม่กี่คนที่พอจะยกมาเปรียบเทียบกับนางได้
นิสัยของนางช่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ต้องเปรียบเทียบกับบรรดาองค์หญิงท่านหญิงทั้งหลายในวังหลวงเหล่านั้นเลย พวกนางอะไรนิดอะไรหน่อยก็ทำตัวแง่งอน น่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน แต่ว่าอย่างไรก็เพิ่งพบหน้านางไม่กี่ครั้ง นิสัยไม่อาจมองทะลุปรุโปร่งได้ในชั่วขณะเดียว เห็นแก่ที่นางเคยช่วยเหลือซื่อจื่อสองครั้ง เช่นนั้นถือว่านางเป็นคนที่รูปลักษณ์และจิตใจไม่แตกต่างกันกระมัง
เรื่องที่จัดการได้ยุ่งยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องชาติกำเนิด เขาสืบความจากเว่ยปอจนแน่ชัดอยู่นานแล้ว บิดาของนักพรตหญิงเป็นแค่ไท่สื่อลิ่ง และยังเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบขุนนางได้เป็นจิ้นซื่อ เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นตำแหน่งหน้าที่จึงก้าวหน้าไปทีละขั้น บ้านเดิมของมารดานางได้ยินมาว่าเป็นพ่อค้าผ้าอยู่ในย่านการค้าของฉางอัน ชนชั้นทั้งสี่ได้แก่ บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ผู้ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้ามีฐานะต่ำต้อยที่สุด การถือกำเนิดในตระกูลเล็กฐานะธรรมดาสามัญ อย่าได้คิดว่าจะเป็นชายาเอกของซื่อจื่อเลย
รับเป็นอนุภรรยา? ฉวีเอินเจ๋อผู้นั้นเป็นถึงบัณฑิตสอบผ่านการสอบขุนนาง ประวัติความเป็นมาขาวสะอาด จะยอมให้บุตรสาวไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางยังเป็นนักพรตด้วย
เรื่องนี้จะมองเช่นไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากซื่อจื่อจะยืนกรานหนักแน่น เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลขอพระราชทานสมรส มิฉะนั้นวาสนาเคียงคู่ของคนทั้งสองจะไม่มีวันเชื่อมถึงกันได้เลย
ทางฝั่งฉางหรงกำลังกลัดกลุ้มแทนลิ่นเซี่ยวด้วยความคิดเชื่อมโยงไร้ขอบเขตเหล่านี้ ส่วนทางฝั่งลิ่นเซี่ยวกลับอารมณ์ดีขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อมองส่งฉวีชิ่นเหยาออกจากจวนไปแล้ว เขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางเอ่ย
“เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเราก็ไปกันเถิด อย่าได้เข้าวังล่าช้า”