ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 4
ฉวีชิ่นเหยาออกมาจากวังหลันอ๋องแล้ว ไม่ได้มุ่งหน้ากลับอารามชิงอวิ๋น แต่สั่งให้เหล่าโจวขับรถม้ากลับมาที่จวนสกุลฉวี
พี่ชายจะต้องเข้าร่วมการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิในอีกไม่กี่วันแล้ว สองวันมานี้นางรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย ฉะนั้นทันทีที่กลับถึงบ้านก็วิ่งตรงไปที่เรือนเล็กของพี่ชาย
พี่ชายของนางตื่นนอนนานแล้ว ขณะนี้กำลังคร่ำเคร่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่าง เขาสวมเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามสะท้อนอารมณ์สงบนิ่ง เมื่อมีกิ่งดอกท้อยื่นเข้าไปทางหน้าต่างอำพรางและขับเน้นรูปโฉม เทียบกับเซียนในภาพวาดแล้วยังตรึงสายตาได้มากกว่าหลายส่วน
ในลานเรือนมีสาวใช้ที่กำลังกวาดพื้นหลายนางลอบสอดส่องมองไปทางพี่ชายนางอยู่ตลอด แต่ละคนทั้งทาชาดเติมแป้ง แววตาปรากฏรอยยิ้มวิบวับ
ไห่ถังเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าโกรธเคือง กดเสียงลงต่ำตะคอกไล่พวกนาง “อีกสองวันคุณชายจะต้องเข้าสนามสอบแล้ว พวกเจ้ามัวมาอืดอาดยืดยาดอยู่ตรงนี้คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่! ไปๆๆ ถ้ามารบกวนคุณชายอ่านหนังสือล่ะก็…ระวังตัวเอาไว้ให้ดี!”
ฉวีชิ่นเหยาหัวเราะอยู่ในใจ ไห่ถังยอดเยี่ยมนัก ทำตัวราวกับเทพทวารบาลข้างกายพี่ชาย
สาวใช้ตัวน้อยทั้งหลายเมื่อโดนพูดจาแทงใจดำเช่นนี้ก็พากันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายแล้วหนีกระเจิงหายไป ไห่ถังหันหลังกลับด้วยท่าทีโมโหฮึดฮัด เหลือบไปเห็นฉวีชิ่นเหยาโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู! ท่านกลับมาแล้ว”
ฉวีจื่ออวี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “อาเหยา” เขาวางตำราในมือลง ลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินออกมาข้างนอก
ฉวีชิ่นเหยากล่าวทักทายไห่ถัง เดินมาพบกับพี่ชายครึ่งทางก่อนจะคล้องแขนเขาพาเดินเข้าห้อง
พี่ชายก้าวเดินอย่างมั่นคงแข็งแรง ทุกอากัปกิริยางามสง่ามีชีวิตชีวา มองไม่เห็นเงาร่างคนอ่อนแอขี้โรคเช่นในอดีตหลงเหลือสักเศษเสี้ยว ความรู้สึกปีติยินดีเอ่อล้นในหัวใจนาง
“เมื่อวันก่อนตอนที่ไปหอไจเยวี่ย ท่านแม่บอกว่าเจ้าเลือกเครื่องประดับอยู่ดีๆ ก็วิ่งออกจากร้านไป กลับมาแล้วท่านก็เป็นห่วงเจ้ามาก ไปเจอเรื่องอะไรมาหรือ เจ้าจัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็น่าจะส่งจดหมายกลับมาสักฉบับ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องคิดมาก” ถ้อยคำของฉวีจื่ออวี้แสดงความไม่พอใจ แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำนุ่มนวล แม้กระทั่งการตำหนิที่แฝงอยู่ก็อ่อนลงไปหลายส่วน
ฉวีชิ่นเหยาเอามือตบหน้าผาก แย่แล้ว สองวันมานี้นางมัวแต่ยุ่งกับการรับมือจูฉี่เอ๋อร์จนลืมบอกกล่าวกับมารดาไปเสียสนิท
นางรีบอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลันอ๋องให้พี่ชายฟัง
ฉวีจื่ออวี้เดิมทีมือยกจอกชาอยู่ รับฟังเรื่องของฉวีชิ่นเหยาแล้วพลันชะงักค้าง ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าพิษกู่น่ากลัวเพียงใด ผู้ใช้กู่มีวิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต หากไม่ทันระวังน้องสาวอาจต้องเผชิญกับอันตราย เป็นหลันอ๋องซื่อจื่อผู้นั้น เคยได้ยินมานานแล้วว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่มีผลงานประจักษ์ชัด ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะมีความคิดอ่านลึกซึ้งละเอียดรอบคอบปานนี้ โชคดีที่น้องสาวเพียงแค่ไปขับไล่สิ่งอัปมงคลในวังหลันอ๋อง ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขามากนัก
จะว่าไปแล้วปีนี้น้องสาวก็อายุสิบสี่ เมื่อการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น ใช่ถึงเวลาจะเอ่ยเตือนเรื่องการแต่งงานของฉวีชิ่นเหยากับบิดามารดาแล้วหรือไม่
แต่เขาเป็นคนมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น แม้ในใจจะครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ สีหน้ากลับยังสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ รอจนกระทั่งฉวีชิ่นเหยาเล่าเรื่องจบแล้วก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“ไม่คิดว่าจะเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ พี่ชายเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว”
“ใช่หรือไม่เล่า!” ฉวีชิ่นเหยาถือโอกาสออดอ้อนพี่ชาย “เมื่อคืนวานไม่ได้หลับตานอนเลยนะ ตอนนี้ข้าง่วงจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ฉวีจื่ออวี้ยกมือลูบศีรษะฉวีชิ่นเหยา รู้สึกรักใคร่เอ็นดูนางเหลือเกิน “ท่านพ่อออกไปประชุมเช้าแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าไปคารวะท่านแม่แล้วไปนอนพักผ่อนเถอะ”
ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้ารับ นางลุกขึ้นมองสำรวจสภาพโต๊ะหนังสือของพี่ชาย มองเห็นบทวิจารณ์เรื่องนโยบายและการปกครองก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย สองสามวันนี้ก็พักผ่อนบ้างเถอะ ไม่เคยได้ยินหลักการที่ว่าบำรุงร่างกายสะสมกำลังบ้างหรือ ไยต้องมาเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทในเวลานี้อีกเล่า”
ฉวีจื่ออวี้ส่งเสียงรับคำ สายตามองตามฉวีชิ่นเหยาไป ทำทีเอ่ยโดยไม่เจตนา “ได้ยินว่าหลันอ๋องซื่อจื่อเป็นคนที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในหมู่ลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะเลือกคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจให้แล้ว แม้กระทั่งในราชสำนักก็มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยอยากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ต่อไปไม่รู้ว่าจะเลือกบุตรสาวของสกุลใดกัน”
ฉวีชิ่นเหยาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
ในใจฉวีจื่ออวี้ตึงเครียดโดยพลัน
“เขายังไม่ได้หมั้นหมายอีกหรือ เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์อย่างเขาไม่ใช่ว่าจะต้องหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือไร ข้ายังนึกว่าเขาหมั้นหมายไปนานแล้วเสียอีกนะ” น้ำเสียงของนางเปิดเผยไม่มีความอึดอัดใจเจือปนแม้แต่นิดเดียว
ฉวีจื่ออวี้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉวีชิ่นเหยามีท่าทีไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง ยังคงพลิกดูโน่นนี่บนโต๊ะหนังสือของพี่ชายด้วยความอยากรู้ แต่แล้วก็พบอะไรบางอย่าง จึงถามด้วยความแปลกใจ
“จี้โจวคนนี้คือใครกัน”
บทวิจารณ์เรื่องนโยบายและการปกครองฉบับหนึ่งวางรวมอยู่กับการบ้านของพี่ชาย บทวิจารณ์กล่าวถึงการปกครองสมัยเหยาซุ่น* เนื้อหาปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมห้าวหาญ ตัวอักษรหนักแน่นทรงพลังอย่างหาได้ยาก แทบจะไม่ด้อยไปกว่าอักษรของพี่ชายเลย
“เป็นสหายร่วมสำนักของพี่เอง” ฉวีจื่ออวี้อธิบาย “รู้จักกันเมื่อหลายวันก่อนตอนไปที่เขาหนานซานเยี่ยมคารวะท่านอาจารย์จี้น่ะ เขาเป็นบัณฑิตจากเขตผิงเหลียงเมืองหยวนโจว มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คราวนี้มาฉางอันเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิ ท่านอาจารย์จี้ชื่นชมในพรสวรรค์ของเขาจึงให้เขาพักค้างแรมอยู่ที่หอเจาเจา”
ฉวีชิ่นเหยาตกตะลึง ท่านอาจารย์จี้เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคในตอนนี้ บัณฑิตทั่วหล้ามีใครบ้างไม่ถือว่าการรับคำชี้แนะจากเขาเป็นเกียรติสูงสุด แต่ว่าเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เคยรับศิษย์โดยง่าย
บุรุษที่ชื่อจี้โจวผู้นี้เดินทางมาไกล ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือรู้จักกันมาก่อน กลับได้อยู่ในสายตาของท่านอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าความรู้ความสามารถอยู่ในระดับเหนือคนธรรมดาทั่วไปแล้ว
นางคิดมาตลอดว่าความรู้ของพี่ชายนั้นล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่ง แต่ว่าวันนี้ดูท่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือใต้หล้ายังมียอดคนโดยแท้