ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 4
จวนหลูกั๋วกงในยามค่ำคืนบรรยากาศเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
เมื่อประตูหนักอึ้งสีแดงเข้มเปิดออกอย่างช้าๆ ก็มีกระแสลมหนาวยะเยือกพัดโชยออกมาระลอกหนึ่ง ทำให้โคมไฟดวงใหญ่สีแดงเปล่งปลั่งที่แขวนข้างประตูสั่นไหวไปมา
บรรดาบ่าวไพร่เดินนำพวกฉวีชิ่นเหยาไปที่สวนดอกไม้อย่างเงียบงัน บรรยากาศช่างแตกต่างกับเรือนด้านหน้าที่เงียบสงัดวังเวง ในสวนดอกไม้ราวกับเป็นอีกภพหนึ่ง เสียงดังเอะอะหนวกหูเหลือประมาณ
ใจกลางความวุ่นวายนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนภูเขาจำลองสูงลิ่ว เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยแป้งขาวและทาชาดจนหนาเตอะ หนวดเคราสีขาวโพลน แล้วยังประดับปิ่นมุกปิ่นหยกเต็มศีรษะจนดูน่าขบขัน ร่างกายกำยำยังมีกระโปรงหรูฉวินตัวใหญ่สีแดงรัดแนบแน่น ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็มีรอยปริขาด
เขาเชิดหน้ามองขึ้นฟ้า สะบัดแขนที่คล้องเสื้อคลุมแขนครึ่งท่อนเอาไว้ กระดกนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้ ขับขานบทเพลงว่า “ข้าคิดถึงท่าน ไยท่านไม่หวนคืน กลางแสงวสันต์ เสาะหาทุกหนแห่ง เป็นศัตรูคู่แค้นหรือไร ทำให้ข้าต้องหลั่งน้ำตา บุรุษไร้หัวใจหนอ…” เสียงซึ่งเดิมทีทุ้มหนักแน่นและแก่ชรา กลับจงใจบีบเสียงให้เล็กและแหลมสูง เมื่อลอยมาเข้าหูแล้วบาดลึกก่อกวนใจยิ่งกว่าเล็บมือกรีดบนกำแพงเสียอีก
ด้านข้างภูเขาจำลองมีกลุ่มบุรุษและสตรีที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรายืนออแน่นขนัด หนึ่งในนั้นมีสตรีสูงศักดิ์ล่วงเข้าวัยกลางคนท่านหนึ่ง คิ้วเรียวยาวจรดจอนผม นางตวาดสั่งบ่าวไพร่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนซึ่งไม่ดูโกรธเกรี้ยวแต่ดูน่าเคารพยำเกรง “มัวยืนนิ่งเฉยอะไรอยู่ ตอนนี้ท่านหลูกั๋วกงกำลังร้องจนเคลิบเคลิ้ม ยังไม่รีบฉวยโอกาสไปประคองลงมาอีก”
บ่าวไพร่หลายคนที่ดูลักษณะคล้ายพ่อบ้านรีบเอ่ยรับคำ แล้วเริ่มปีนป่ายภูเขาจำลองอย่างระมัดระวัง
เสียงขับขานเพลงละครหยุดชะงักอย่างฉับพลัน หลูกั๋วกงเหลียวมองรอบกาย กระโดดทะยานขึ้นไปในอากาศ ลอยพลิ้วลงมาจากภูเขาจำลองที่สูงกว่าตัวคน ฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง
คนทั้งหลายร้องอุทานด้วยความตกใจ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นตกใจจนผงะถอยหลังก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“เวรกรรมแท้ๆ ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง หากท่านพ่อพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ พวกเจ้าแต่ละคนก็รีบคิดหาวิธีเข้าสิ” นางร้องสั่งพลางจับแขนสาวใช้ รีบไล่ตามไปข้างหน้า
หลูกั๋วกงทะยานไปข้างหน้าไม่เท่าไร พริบตาเดียวก็ปีนขึ้นต้นอู๋ถง กลางลานบ้าน เขาจับจอนผมให้เข้าที่เรียบร้อย ประคองกิ่งต้นอู๋ถงไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง ส่งเสียงอืออาขับขานบทเพลงอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ต้องรอบ่าวไพร่ บุรุษสองสามคนท่าทางองอาจสง่างามพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมปีนขึ้นต้นไม้ พวกเขาต่างสวมชุดขุนนางของราชสำนัก อากัปกิริยาแตกต่างจากคนทั่วไป ดูก็รู้ว่าคงเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกสามคนของท่านหลูกั๋วกงแน่
ฉวีชิ่นเหยาแอบวาดมือท่องคาถา เปิดเนตรสวรรค์แล้วมองไปทางหลูกั๋วกง น่าประหลาดใจนัก เพราะไม่ว่านางจะส่งพลังออกไปอย่างไรก็มองเห็นเพียงเงาสีแดงจางๆ สายหนึ่ง ไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายชนิดใดไปชั่วขณะ
“อาเหยา” เวลานี้มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ส่งเสียงเรียกนางแผ่วเบา
ฉวีชิ่นเหยาหันหน้าไปมองก็เห็นลิ่นเซี่ยวที่ไม่รู้ว่าเดินมาถึงข้างกายนางเมื่อใด เขายังสวมชุดเกราะเงินของหน่วยอวี่หลิน สีหน้าแสดงความอ่อนล้าเล็กน้อย
“เมื่อวานก็รบกวนเจ้าไปทั้งคืนแล้ว มาวันนี้ก็ต้องเชิญเจ้ามาอีก ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” เขาสังเกตสีหน้าของฉวีชิ่นเหยาอย่างละเอียด เห็นนางมีแววตาเปล่งประกายแวววาว สีหน้าสดชื่นอิ่มเอิบ ชัดเจนว่านอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว จึงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
“ไม่มีปัญหา” ฉวีชิ่นเหยายิ้มรับ “แต่ว่า…” นางชี้ไปทางกลุ่มคนที่ยังเอะอะครึกโครม “อยู่ในสภาพนี้ข้าไม่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาได้ อีกอย่างกลัวว่าจะพลาดพลั้งทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วย จะขอเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ในจวนหลบเลี่ยงออกไปชั่วคราว ข้าจะได้ร่ายคาถาต่อกรสิ่งชั่วร้ายนั้นได้เต็มกำลัง”
ลิ่นเซี่ยวพยักหน้า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็หันกายจากไปทันที
ฉวีชิ่นเหยาเห็นเขาเดินไปหยุดข้างกายฮูหยินหลูกั๋วกง ก้มศีรษะบอกอะไรบางอย่างกับนาง ฮูหยินหลูกั๋วกงตั้งใจฟังอย่างดี ปรายตามองมาทางฉวีชิ่นเหยาอยู่หลายครั้ง ไม่นานก็เห็นนางพยักหน้ารับ เดินนำทุกคนมาทางฉวีชิ่นเหยา
วันนี้ฉวีชิ่นเหยาแปลงโฉมเล็กน้อย อีกทั้งยังติดหนวดเคราเอาไว้ ฮูหยินหลูกั๋วกงและคนอื่นๆ รู้สึกเพียงว่านักพรตน้อยผู้นี้แลดูนุ่มนวลกว่าบุรุษทั่วไปอยู่บ้าง แต่มองไม่ออกในทันทีทันใดว่านางเป็นสตรี
ฮูหยินหลูกั๋วกงมองประเมินฉวีชิ่นเหยารอบหนึ่ง แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เหวยจิ่นบอกว่าท่านเป็นศิษย์เอกของท่านนักพรตชิงซวีจื่อแห่งอารามชิงอวิ๋น มีวิชาพรตสูงส่ง คิดว่าท่านนักพรตคงเห็นสภาพของท่านหลูกั๋วกงแล้ว เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเราก็ไม่รู้เรื่องคาถาอาคม ทุกอย่างคงต้องอาศัยท่านนักพรตแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยนี้แฝงความน่าเกรงขามอย่างคนที่อยู่เหนือผู้ใดมาเนิ่นนาน
บุรุษทั้งสามด้านหลังนางต่างมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้ที่อ่อนเยาว์ที่สุดในนั้นอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี มีดวงตาดอกท้อฉายแววเจ้าสำราญ เป็นบุรุษรูปงามโดดเด่นที่สุดในบรรดาบุตรชายหลายคนของหลูกั๋วกง
เขามองหน้าฉวีชิ่นเหยาด้วยแววตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย แล้วหันไปมองลิ่นเซี่ยวพลางเอ่ยปากขันอาสา
“ท่านแม่ พี่ชายทั้งสอง วันนี้พวกท่านยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว คิดว่าตอนนี้คงจะเหนื่อยล้าเต็มที พวกท่านกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องสักครู่ก่อน ข้ากับเหวยจิ่นยังรับมือไหว เรื่องตรงนี้มอบให้พวกเราจัดการเถอะ”