ลิ่นเซี่ยวตอบสนองฉับพลัน ถือกระบี่ไล่ตามไปในทันที ฉวีชิ่นเหยาก็รีบตามหลังไปไม่ห่าง
การเคลื่อนไหวของหมัวมัวผู้ดูแลรวดเร็วเหนือคนธรรมดา กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้งเท่านั้นก็ทะยานออกไปนอกเรือนแล้ว
ได้ยินเพียงเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีคนคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าปีศาจ! เก่งนักก็เข้ามาหาข้าสิ!”
เป็นเสียงฮูหยินหลูกั๋วกง!
ลิ่นเซี่ยวกับฉวีชิ่นเหยาหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ช้อนสายตาขึ้นมองข้างบนก็เห็นหมัวมัวผู้นั้นคว้าตัวเจี่ยงซานหลางลอยขึ้นกลางอากาศ เหาะเหินออกไปนอกจวน
“แย่แล้ว! ปีศาจตนนั้นกำลังจะหนี” ฉวีชิ่นเหยาร้อนใจอย่างที่สุด เร่งฝีเท้าห้อตะบึงไล่ตาม
ลิ่นเซี่ยววิชาตัวเบายอดเยี่ยมกว่าฉวีชิ่นเหยา เขาไล่ตามออกนอกเรือนก็ทะยานตัวแผ่วเบาก้าวขึ้นมายืนอยู่บนกำแพง มือขวายกกระบี่ขึ้น หรี่ตาเล็งเป้าหมายที่หมัวมัวผู้นั้น เตรียมจะซัดกระบี่ใส่แผ่นหลังของนาง
ทันใดนั้นบังเอิญมีลมพายุกระโชกดังขึ้นกลางอากาศ ของสิ่งหนึ่งลักษณะคล้ายเชือกพุ่งไปรัดลำคอหมัวมัวผู้ดูแลเรือนเอาไว้ว่องไวปานสายฟ้า พอรัดแน่นหนาก็กระชากร่างนั้นให้ร่วงลงมา
“ปีศาจจิ้งจอก! ยังคิดจะหนีไปที่ใดอีก”
บุรุษสองคนท่าทางคล้ายนักพรตก้าวเหยียบพื้นดินอย่างมั่นคง มองดูหมัวมัวผู้ดูแลเรือนที่ร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง และยังดิ้นรนสุดชีวิตอยู่ที่ปลายเท้าด้วยแววตาดุดัน
“อาจารย์! ศิษย์พี่ใหญ่!” ฉวีชิ่นเหยาทั้งประหลาดใจและดีใจยิ่งนัก นางเร่งสาวเท้าวิ่งเข้าไปทางชิงซวีจื่อ
“อาเหยา!” อาหานก็กวักมือเรียกฉวีชิ่นเหยาอย่างเริงร่า
มือชิงซวีจื่อยังจับเชือกเอาไว้แน่น รอจนกระทั่งฉวีชิ่นเหยาวิ่งมาหยุดตรงหน้าก็ตำหนินางเสียงดังลั่นก่อนว่า “เจ้าเด็กบ้า! แอบขโมยคันฉ่องไร้ขอบเขตของอาจารย์มาแต่กลับไม่รู้วิธีเรียกใช้ หลายปีมานี้เสียแรงที่อาจารย์อบรมสั่งสอนเจ้า!”
ใบหน้าของเขาซูบผอมลงกว่าก่อนเดินทางไปลั่วหยางเล็กน้อย ผิวก็ดำคล้ำลง ทว่าสีหน้ากลับสดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง
ฉวีชิ่นเหยายิ้มแต้ปล่อยให้ชิงซวีจื่อว่ากล่าวตามใจ ก่อนจะเข้าไปดึงแขนเขาแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องที่สุด ศิษย์ละอายใจนัก วันนี้ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้นางรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ปลายคิ้วหางตาล้วนสะท้อนความปีติยินดี
ลิ่นเซี่ยวสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางทุกรายละเอียด มองประเมินชิงซวีจื่อและอาหานด้วยแววตาครุ่นคิด
หมัวมัวผู้ดูแลเรือนถลึงตาจนปูดโปนด้วยความโกรธจัด เปิดปากด่าทอเกรี้ยวกราด “นักพรตเฒ่าชั่วช้า ช่วยโจ้วก่อกรรมทำเข็ญ* ปีนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะถูกกักขังอยู่ใต้เขาอู๋เหวยนานถึงสิบปีได้อย่างไร กว่าข้าจะคลายผนึกออกมาแก้แค้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เจ้ายังจะทำลายแผนการของข้าอีกรึ!”
ชิงซวีจื่อไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบรัดเชือกให้แน่นกว่าเดิม เชือกเส้นนั้นเป็นสีเหลืองอ่อน มองดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากเชือกทั่วไป ทว่าเวลานี้กลับเปล่งรัศมีสีสว่างร้อนแรงบาดตารอบลำคอของหมัวมัวผู้นั้น
นางดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต ลูกตาดำหดเล็กลงเรื่อยๆ อย่างประหลาด หดเล็กลงจนกระทั่งมองเห็นเป็นจุดสีดำเล็กเท่าปลายเข็ม ผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายก็ชักกระตุก ก่อนจะมีแสงสีแดงลูกกลมๆ ลอยออกมาเหนือร่าง
การเคลื่อนไหวของแสงสีแดงไม่รวดเร็วเท่าก่อนหน้านี้แล้ว อาหานไม่รอให้ชิงซวีจื่อสั่งการก็กอดบางสิ่งคล้ายถุงผ้าใส่แป้งใบหนึ่งกระโจนพรวดไปข้างหน้า ตะครุบแสงสีแดงนั้นเอาไว้อย่างแม่นยำ
ตอนนี้เองชิงซวีจื่อก้มลงคลายเชือกที่รัดลำคอหมัวมัวผู้ดูแลเรือนอย่างระมัดระวัง ฉวีชิ่นเหยาชะโงกหน้าไปมองก็พบว่าไม่มีรอยรัดของเชือกหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ชิงซวีจื่อส่งเชือกให้อาหาน สั่งเขาผูกปากถุงแป้งเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็กรีดผ่าถุงผ้าด้วยตนเอง ศีรษะที่มีขนปุกปุยของเจ้าจิ้งจอกโผล่ออกมาจากข้างในทันที
จิ้งจอกตัวนั้นมีขนสีแดงเพลิงร้อนแรงปกคลุมทั่วทั้งตัว เรียกได้ว่าเป็นสีสันที่งดงามและหาได้ยากยิ่ง