ขอบตาของเขาแดงก่ำ แต่ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำ การพบกันโดยบังเอิญนอกวัดต้าอิ่นเป็นจุดเริ่มต้นเคราะห์กรรมด่านนี้ในชีวิตของเขา เวลานั้นหลงใหลคลั่งไคล้เสียเต็มประดา เวลานี้เหลือเพียงความผิดหวัง ถ้าหากมีโอกาสย้อนกลับไปใหม่อีกครั้ง เขาจะยังมีความกล้าเอ่ยทักทายเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย มีดวงตาเป็นประกายสดใสผู้นั้นหรือไม่
‘ข้าแซ่เจี่ยง เป็นบุตรคนที่สาม ทุกคนเรียกขานว่าซานหลาง แล้วเจ้าชื่อว่าอะไร’
‘อาเมี่ยว ข้าชื่ออาเมี่ยว’ เด็กสาวยกมือปิดปากเบาๆ หัวเราะได้น่ารื่นรมย์ยิ่งกว่าสายลมในฤดูใบไม้ผลิ โชยพัดเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างนุ่มนวล
ร่างในอ้อมกอดค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นทุกขณะ ความโศกเศร้าที่กดข่มมาเนิ่นนานระเบิดออกมา แผ่ขยายลุกลามทั่วแผ่นอก บนใบหน้ายังไม่มีรอยน้ำตา แต่หัวใจของเขาเหมือนถูกฉีกกระชากเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดสีแดงสดของนางไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาก้มหน้าลงแนบใบหูนาง กระซิบตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “แน่นอน”
ระหว่างที่สติเลื่อนลอยเขาคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างนุ่มนวล ก่อนที่แขนสองข้างของสตรีในอ้อมกอดที่ยกค้างจะหล่นลงมาทีละข้าง
หลังออกจากจวนหลูกั๋วกงมา ไม่ทันได้เอ่ยคำอำลากับพวกลิ่นเซี่ยว ฉวีชิ่นเหยาก็ต้องติดตามอาจารย์และอาหานคุมตัวปีศาจจิ้งจอกเร่งเดินทางข้ามคืนออกนอกเมืองฉางอัน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสภาพภูมิประเทศของเขาอู๋เหวยกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผนึกที่สะกดปีศาจจิ้งจอกไว้นานกว่าสิบปีสิ้นฤทธิ์ มันจึงหลบหนีออกไปได้ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน
เห็นได้ชัดว่าคงจะสะกดปีศาจจิ้งจอกเอาไว้ใต้เขาอู๋เหวยอย่างเดิมไม่ได้แล้ว ชิงซวีจื่อกางแผนที่เมืองฉางอันดู คิดใคร่ครวญอยู่นานแล้วก็ตัดสินใจเลือกภูเขาเล็กๆ ไร้นามที่มีผู้คนผ่านบางตาแถบชานเมือง
ก่อนจะเริ่มทำพิธี นางจิ้งจอกที่ตระหนักดีว่าไม่อาจหนีไปไหนพ้น จู่ๆ ก็หัวเราะด้วยความทุกข์ระทมพลางมองหน้าชิงซวีจื่อแล้วเอ่ยขึ้น
“ชิงซวีจื่อ หลายปีมานี้เจ้าถูกความฟุ้งเฟ้อของโลกมนุษย์บดบังดวงตาทั้งสอง ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่เฉียบคมเหมือนก่อนแล้ว ดังนั้นเจ้าถึงได้มองภาพปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าไม่ออก เจ้ารอดูไปเถอะ อีกไม่นานหรอก เมืองฉางอันจะมีปีศาจมารร้ายสร้างความหายนะ ถึงตอนนั้นใต้หล้านี้จะต้องพินาศ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พวกเจ้าทุกคนอย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้เลย”
ฉวีชิ่นเหยากับอาหานหันมามองสบตากัน
การเคลื่อนไหวเพื่อวางค่ายกลของชิงซวีจื่อพลันเชื่องช้าลง เขาโบกสะบัดแส้ขนจามรีพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ยามอิ๋น เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์สลับตำแหน่งกับดวงจันทร์พอดี ดวงดาวลาลับเลือนหาย แสงแห่งยามรุ่งอรุณเริ่มสาดส่อง ท้องฟ้ายังเป็นสีคล้ายน้ำหมึกเจือจาง มองไม่เห็นปรากฏการณ์ผิดแปลกอื่นใด
ชิงซวีจื่อยืนลูบเคราครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพัก ก็โบกมือสั่งให้อาหานกับฉวีชิ่นเหยาวางค่ายกลต่อไป
หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ฉวีชิ่นเหยาเป็นห่วงคนในครอบครัว ก็ขอตัวลาพักกับชิงซวีจื่อแล้วมุ่งหน้ากลับจวนสกุลฉวี
หลังจากเผชิญเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนมาสองคืนติดกัน ฉวีชิ่นเหยาก็รู้สึกเหนื่อยล้าแทบทนไม่ไหว พอย่างเท้าเข้าเรือนคารวะบิดามารดาและพี่ชายแล้วก็กลับห้องนอนหลับเป็นตาย
ด้านลิ่นเซี่ยวกลับไม่มีโอกาสตามใจตนเองเช่นนั้น ตอนนี้เขาเป็นขุนนางผู้ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ เป็นผู้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน ปกติแล้วเวลาพักผ่อนจะกำหนดไว้ชัดเจน ก็คือกลับจวนไปพักผ่อน แต่ว่าก็มีเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น
เมื่อเขากลับเข้าวังหลวง ฮ่องเต้ทรงเรียกอู๋สิงจือกับโม่เฉิงมาปรึกษาหารือที่ห้องทรงพระอักษร
“ฝ่าบาท เรื่องการเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นอีกครั้ง เกรงว่าจะต้องปรึกษาหารือกันอีกยาวนักพ่ะย่ะค่ะ” เป็นเสียงของอู๋สิงจือ ปัจจุบันเขารับตำแหน่งราชมนตรีสำนักราชเลขา ปกติได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จลุงอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่ต้องตัดสินพระทัยเรื่องสำคัญ เสด็จลุงมักจะเรียกเข้าเฝ้าเพื่อหารือก่อน
“ประการแรก สำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นปิดเงียบมานานกว่ายี่สิบปี อาคารเรือนคงทรุดโทรมผุพังไปมากแล้ว จะบูรณะซ่อมแซมต้องใช้เวลาสักระยะ รวมถึงสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์ไม่น้อย
ประการที่สอง ปีนั้นเมื่ออดีตไท่มู่ฮองเฮาทรงเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่น พระประสงค์แต่ดั้งเดิมก็เพื่อเลือกเฟ้นสตรีที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ที่รับเข้าเรียนถึงได้เป็นบุตรสาวของขุนนางขั้นสามขึ้นไป ถ้าหากจะเปิดสำนักศึกษาอีกครั้ง จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังครอบครัวขุนนางแต่ละระดับ ซึ่งจะต้องเสียเวลาพักใหญ่
ประการที่สาม ถึงเวลานั้นในสำนักศึกษามีแต่ลูกศิษย์สตรี แล้วจะกำหนดกฎเกณฑ์ในสำนักเช่นไร อาจารย์ที่สั่งสอนอบรมลูกศิษย์จะคัดเลือกจากที่ใด ฝ่าบาททรงมีความคิดเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”