ลิ่นเซี่ยวเผยรอยยิ้มบางๆ อู๋สิงจือยังคงตรงไปตรงมาเช่นนี้ และกล้ากราบทูลเสนอความคิดเห็น
พระสุรเสียงของฮ่องเต้ฉายความอ่อนล้าอยู่บ้าง “สิ่งที่พวกเจ้าว่ามาเรามีหรือจะไม่เข้าใจ แต่ว่าหลายวันมานี้เราเอาแต่ฝันเห็นฮุ่ยเฟย ในความฝันนั้นเป็นภาพตอนที่เราพบหน้านางครั้งแรกในสำนักอวิ๋นอิ่น ตอนนั้นนางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น กำลังอยู่ในวัยแรกแย้มงดงาม ส่วนเราก็ยังไม่ทันถึงวัยสวมหมวกเหตุการณ์ในความฝันปรากฏชัดเจนตรงหน้าทีละเรื่องจนแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นความจริงสิ่งใดเป็นภาพลวงตา ฮุ่ยเฟยจากไปนานหลายปีถึงเพียงนี้ เรายังไม่เคยฝันเห็นนางสักครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้พบนาง แต่กลับเป็นสถานที่เช่นสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่น เราก็เลยคิดว่าบางทีอาจมีสาเหตุบางอย่างก็เป็นได้…”
พระองค์ทอดพระเนตรมองแท่นวางพู่กันจากไม้หวงหยางจนเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน ก็ถอนพระทัยยาวพร้อมตรัสว่า “เรื่องนี้เราตัดสินใจแล้ว สำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นจะต้องเปิดอีกครั้ง พวกเจ้าอย่าได้เกลี้ยกล่อมเราอีกเลย แต่พวกเจ้ากลับช่วยเตือนสติเรา ตอนนี้ยังมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ไม่น้อยยังไม่ได้แต่งงาน ปกติพี่สาวของเราหลายคนก็มาพร่ำบ่นเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ขอให้เราช่วยหาคู่ครองให้ลูกหลานของพวกนาง ไม่สู้ยกเรื่องการเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นมาเป็นเหตุผล คัดเลือกเด็กสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณธรรมจากครอบครัวขุนนางทุกระดับ ให้พวกนางเข้าเรียนในสำนักศึกษาหนึ่งปี หลังจากนั้นคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาให้เราช่วยหาคู่ครอง ยกนางให้กับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่อายุเหมาะสม ถือว่าได้สร้างคู่บุพเพที่งดงามหลายคู่เลยทีเดียว”
พระองค์ยิ่งตรัสยิ่งรู้สึกมั่นพระทัย “แล้วก็ไม่จำกัดที่ขุนนางขั้นสามขึ้นไปด้วย ขอเพียงเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก บุตรสาวของพวกเขาล้วนอยู่ในขอบเขตผู้ได้รับเลือก”
ลิ่นเซี่ยวได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ ในใจพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ฮ่องเต้หันมาทอดพระเนตรมองลิ่นเซี่ยว กวักพระหัตถ์เรียกแล้วตรัสถามว่า “เหวยจิ่น เจ้าเห็นว่าความคิดนี้ของเราเป็นเช่นไร”
ลิ่นเซี่ยวขยับเข้าใกล้แล้วถวายบังคมฮ่องเต้ ก่อนจะกราบทูลตอบว่า “ในปีนั้นสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นเคยเป็นถึงหนึ่งในสามสำนักศึกษาใหญ่ของฉางอัน มีชื่อเสียงทัดเทียมกับสำนักศึกษาหมิงลู่และจงซาน โด่งดังเลื่องลือไปทั่วหล้า ถ้าหากเปิดขึ้นอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องดีงามแน่นอน”
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์แช่มชื่นยินดีขึ้นทันที
อู๋สิงจือและโม่เฉิงต่างมองลิ่นเซี่ยวด้วยความประหลาดใจ ฮ่องเต้ตรัสว่าลมคือฝนก็แล้วไปเถิด เหตุใดแม้กระทั่งซื่อจื่อก็พลอยผสมโรงไปด้วยเล่า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกร เดินย่ำพระบาทกลับไปมาด้วยความตื่นเต้น “สำนักศึกษามีอดีตไท่มู่ฮองเฮาเป็นผู้ก่อตั้ง ภายหลังรุ่งเรืองอยู่หลายสิบปี กฎของสำนักกำหนดขึ้นจนเป็นที่ยอมรับมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ถึงเวลานั้นจะเรียกรับลูกศิษย์เท่าใด สมควรจัดการเรียนเช่นไร พวกเจ้าก็ทำตามสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีตก็พอ”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว กราบทูลให้มากความไปก็ไร้ประโยชน์ อู๋สิงจือและโม่เฉิงจึงจำต้องพยักหน้าตอบรับ
หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษร อู๋สิงจือและโม่เฉิงยืนอยู่หน้าราวระเบียงที่สร้างจากหินฮั่นไป๋อวี้ เหม่อมองวังหลวงสูงตระหง่านอย่างเงียบๆ อยู่นานสองนาน เดิมทีคาดหวังว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วจะได้พักผ่อนให้สบายใจสักระยะ ใครจะรู้ว่าความประสงค์ที่เกิดขึ้นมาฉับพลันของฮ่องเต้ก็จะมีหน้าที่ตึงมือเช่นนี้ถูกโยนมาให้พวกเขาอีกครา เรื่องนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เพียงแค่จะร่างรายชื่อลูกศิษย์สตรีที่จะเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างไรก็ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ามากพอแล้ว
ขณะกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด ข้างหลังก็มีคนเดินเข้ามาใกล้
“ราชมนตรีอู๋ โม่ฉางซื่อ”
คนทั้งสองหันกลับไป ไม่คาดคิดว่าจะเป็นลิ่นเซี่ยว