ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 5
การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิในวันนี้ ฉวีชิ่นเหยาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สาง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่ายก็ติดตามมารดานั่งรถม้าไปส่งพี่ชายที่สนามสอบ
สีหน้าของฉวีจื่ออวี้สงบเยือกเย็นเหมือนที่เคยเป็นมา กลับเป็นฉวีเฉินซื่อที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดา สั่งกำชับด้วยความเอาใจใส่มาตลอดทาง พร่ำพูดประโยคเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ ฉวีชิ่นเหยาฟังแล้วรู้สึกอ่อนเพลียจนตาจะปิด
“ต้าหลาง รู้สึกกระหายหรือไม่ อยากดื่มน้ำหรือไม่” นี่เป็นประโยคแรก
“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าพากเพียรอ่านตำรามาหลายปีไม่ใช่เพื่อรอวันนี้หรอกหรือ ทำให้เต็มที่เหมือนเคยก็พอแล้ว แม่จะรอฟังข่าวดีของเจ้า” นี่เป็นประโยคที่สอง
“ได้ยินว่าอาหารการกินที่สนามสอบหยาบกระด้างนัก ยังอยากกินขนมแป้งทอดรองท้องอีกสักหน่อยหรือไม่” นี่เป็นประโยคที่สาม
ไม่ว่าฉวีเฉินซื่อจะพร่ำพูดซ้ำไปกี่ครั้ง ฉวีจื่ออวี้ก็ตอบกลับอย่างอดทนไม่เปลี่ยน ระหว่างนั้นยังหาโอกาสส่งสายตาตักเตือนฉวีชิ่นเหยาซึ่งกลอกตาเบื่อหน่ายไม่ยอมหยุดได้อีก
หลังทนทรมานมาตลอดทางในที่สุดก็ถึงสนามสอบ ฉวีชิ่นเหยาสวมหมวกม่านแพร กระโดดหนีเอาชีวิตรอดลงจากรถม้าเป็นคนแรก
นอกสนามสอบมีผู้คนขวักไขว่ เต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิตจากทั่วทุกสารทิศที่เร่งเดินทางมาสนามสอบ
ราชวงศ์ปัจจุบันมีคำกล่าวที่ว่า ‘อายุสามสิบเพิ่งสอบได้หมิงจิงถือว่าชรา สอบได้จิ้นซื่อก่อนอายุห้าสิบถือว่าเยาว์วัย’ ฉะนั้นในกลุ่มผู้เข้าสอบจึงมีคนที่อายุมากอยู่พอสมควร ผู้เข้าสอบที่อายุยังน้อยเช่นฉวีจื่ออวี้กลับมีน้อยยิ่ง
“เหวินหย่วน!” ยามนั้นเองก็มีคนตะโกนเรียกเขา
‘เหวินหย่วน’ เป็นชื่อรองของฉวีจื่ออวี้ ฉวีชิ่นเหยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหันมองตามเสียงนั้น
นางมองเห็นชายหนุ่มกิริยาสง่างามเหนือสามัญคนหนึ่งกำลังเดินมาแต่ไกล ภายใต้คิ้วคมที่เลิกขึ้นสูงคือดวงตาที่ทอประกายพราวระยับดั่งดวงดาว ยามผู้คนชายตามองคราเดียวก็มองลึกถึงก้นบึ้ง ผิวขาวสะอาดกระจ่างใส ขับเน้นเส้นผมสีดำสนิทดุจน้ำหมึก สันจมูกโด่งตรงสวย ริมฝีปากบางแดงก่ำชุ่มชื้น แต่ละส่วนล้วนงดงามจนหาที่ติไม่ได้
เวลานี้อากาศยังค่อนข้างหนาวเย็น ส่วนใหญ่คนในฉางอันจะสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้น แต่คนผู้นี้กลับสวมเพียงเสื้อคลุมทำจากผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินที่ซักจนซีดขาว บนศีรษะประดับด้วยหมวกผ้าสีเดียวกัน นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีของสิ่งใดติดกายอีก ช่างเรียบง่ายเสียจนเกินพอดีไปหน่อย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้น กลับเปล่งประกายดั่งไข่มุกส่องสว่างกลางความมืด กลบรัศมีของคนรอบข้างลงไปในพริบตา
“จี้โจว” ฉวีจื่ออวี้ทั้งตกใจทั้งยินดี รีบเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น
ฉวีชิ่นเหยารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง คิดทบทวนครู่หนึ่งก็กระจ่างแก่ใจ เขาไม่ใช่สหายร่วมสำนักที่มีพรสวรรค์โดดเด่นจนท่านอาจารย์จี้ให้ความสำคัญคนนั้นหรอกหรือ
ฉวีเฉินซื่อมองเห็นจี้โจวแล้วดวงตาพลันสว่างวาบ เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ท่านนี้คือ?”
พี่ชายรีบเดินนำคนผู้นั้นเข้ามา แนะนำกับมารดาและน้องสาวว่า “เป็นสหายสนิทร่วมสำนัก ชื่อเฝิงป๋ออวี้ ชื่อรองจี้โจว เป็นชาวเมืองหยวนโจว ครั้งนี้มาเข้าร่วมการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิพร้อมกับข้า” ว่าแล้วก็หันไปแนะนำกับเฝิงป๋ออวี้ “นี่คือมารดาข้า นี่คือน้องสาวข้า ท่านพ่อไปเข้าประชุมขุนนางแต่เช้าแล้ว ก็เลยไม่ได้มาส่งข้า”
เฝิงป๋ออวี้แสดงความเคารพฉวีเฉินซื่ออย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยิน” แล้วหันมาพยักหน้าให้ฉวีชิ่นเหยา
ฉวีเฉินซื่อก็เหมือนกับสตรีวัยกลางคนทั้งหลายในใต้หล้า มีจิตใจเอื้อเอ็นดูคนหนุ่มสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรของตนเอง พอเห็นเฝิงป๋ออวี้แม้จะสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่ว่ามีหน้าตาหล่อเหลาอิ่มเอิบ ท่วงทีกิริยาก็ยังสง่าผ่าเผยเป็นธรรมชาติ เมื่อยืนอยู่ข้างบุตรชายแล้วไม่ได้ดูด้อยกว่ากันเลย จึงเกิดความรู้สึกชมชอบจากใจ ส่งยิ้มจนตาหยีโค้งพลางเอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม วันหน้าก็แวะไปที่จวนบ่อยๆ สิ” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตา
เฝิงป๋ออวี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย รอยยิ้มในดวงตายิ่งลึกล้ำกว่าเดิมหลายส่วน “ขอเพียงท่านป้าไม่รังเกียจ ต่อไปจะต้องไปรบกวนที่จวนบ่อยๆ แน่ขอรับ”
เนื่องจากเมื่อเช้าตื่นนอนเร็วกว่าปกติ ฉวีชิ่นเหยาจึงงีบหลับคาตักมารดาตลอดทางกลับจวน
“ครั้งนี้พี่ชายเจ้าสอบเสร็จเรียบร้อย ข้ากับท่านพ่อเจ้าก็จะจัดการเรื่องการแต่งงานของเขาแล้ว”
ขณะกำลังสะลึมสะลือ นางก็ได้ยินมารดากล่าวเช่นนี้ขึ้น ฉวีชิ่นเหยาไม่ได้เอ่ยรับคำ แต่หลับตานอนต่อไป
“ถึงปีก่อนจะมีหลายบ้านที่มีเจตนามาเจรจาเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ว่าพอสืบรู้เรื่องสุขภาพของจื่ออวี้ก็พากันหนีหายไปหมดแล้ว จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ใครจะยอมให้บุตรสาวแต่งสามีที่อ่อนแอขี้โรคกันเล่า ตอนนี้จื่ออวี้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ข้ากับท่านพ่อของเจ้าปรึกษากันอยู่ รอให้การสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้วค่อยพูดคุยเรื่องนี้…”
“อ๊าก…”
ยามนั้นเองเสียงกรีดร้องชวนเวทนาดังลอยมาแต่ไกล ขัดจังหวะเสียงพูดเจื้อยแจ้วของฉวีเฉินซื่อลง
ความง่วงงุนของฉวีชิ่นเหยาหายไปเป็นปลิดทิ้ง นางลุกขึ้นมานั่งแล้วมองออกไปข้างนอก
รถม้าบังเอิญผ่านมาถึงผิงคังฟาง พอดี เบื้องหน้าตรอกคับแคบมีฝูงชนที่มารวมตัวกันแน่นขนัด เด็กหนุ่มหลายคนมีสีหน้าตื่นตระหนกลนลานเดินเบียดเสียดออกมา ก่อนจะวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศทางราวกับแมลงวันไร้ศีรษะ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ฉวีเฉินซื่อชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถม้า เอ่ยถามเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“มีคนตาย!” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงแหลมสูงประโยคหนึ่งก่อนจะวิ่งหนีไปไกลลิบ
นางนิ่งงันไปชั่วครู่ ตบหน้าอกด้วยความหวาดผวาแล้วกลับไปนั่งที่เดิม แต่ก็ต้องตกตะลึงที่พบว่าบุตรสาวสวมหมวกม่านแพรเดินลงจากรถม้าไปแล้ว
“กลับมานะ! คนตายมีอะไรน่าดูกัน” ฉวีเฉินซื่อตะโกนเรียกอย่างร้อนรน
(ติดตามอ่านได้ในฉบับเต็ม)