“สวัสดีค่ะ” สาวร่างเล็กยกมือไหว้ผลุบเพื่อทักทายกลับอย่างแตกตื่น ในใจนึกต่อว่าเพื่อนซี้ที่ไม่เตือนเธอก่อน เวลานี้เธอเลยเลิ่กลั่ก มือไม้เก้งก้างไปหมด…ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้สึกเหมือนจะเป็นลมรอมร่อ ทำไมอาชวินต้องหล่อแถมเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังขนาดนี้ด้วยเนี่ย!
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ จะว่าไปพี่น่าจะเคยเจอน้องปินเหมือนกันนะเนี่ย หน้าคุ้นๆ”
ดวงตาคมทอดมองมาอย่างพินิจ นั่นทำให้ปภาวรินท์ยิ่งแตกตื่นหนักเข้าไปใหญ่
“ก็น่าจะเคยเดินผ่านกันบ้างนะคะ ปินกับปีย่าทันก่อนพี่วินเรียนจบนะ ถึงจะไม่ได้อยู่คณะเดียวกันก็เถอะ แล้วพวกเราก็คงสวนกันตามงานเลี้ยงบ้างแหละ ยายปินก็ไปงานนู้นนี้แทนป๊าอยู่บ่อยๆ…เนาะปิน” ประโยคท้ายปริยากรหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนสาว
“อืม ก็น่าจะอย่างนั้น”
“แปลกนะที่เราเพิ่งได้รู้จักกัน แต่รู้จักช้าหน่อยดีกว่าไม่ได้รู้จักเลย” อาชวินส่งยิ้มให้หญิงสาว “จริงสิ แล้วนี่ทั้งสองคนมากันนาน…”
เสียงของชายหนุ่มขาดหายไปเนื่องจากอยู่ดีๆ สาวร่างเล็กก็สะบัดเค้กป็อปในมือจนมันหลุดจากแท่งพลาสติกลอยไปปะทะกับร่างสูง หนำซ้ำแทนที่จะไปโดนเสื้อสูทสีเข้ม มันกลับไปแปะอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาแทน
“ว้าย ตายแล้ว ขอโทษค่ะ ขอโทษ” พอปภาวรินท์หายช็อกแล้วตระหนักว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป เธอก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” อาชวินส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมกับหยิบก้อนเค้กขนาดเล็กบางส่วนที่แปะอยู่บนเสื้อของตัวเองไปวางบนโต๊ะ “เอาเป็นว่าพี่คืนให้นะ”
“บางทียายปินก็เป๋อเหลอแบบนี้แหละค่ะ” ปริยากรทำท่าปลง
“แปลว่าอยู่ด้วยแล้วจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเวลาใช่ไหม” สถาปนิกหนุ่มยิ้มขัน ก่อนจะปลอบเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนตัวเล็กยังดูไม่ดีขึ้น “ไม่ต้องคิดมากนะ เสื้อผู้ชายเปื้อนนิดเปื้อนหน่อยเป็นเรื่องปกติ เปื้อนเศษเค้กยังดีกว่าเปื้อนน้ำปูนเวลาไปไซต์งานเยอะ”
ปภาวรินท์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างคาดไม่ถึง แล้ววูบต่อมาความรู้สึกตื้นตันก็พุ่งเข้าจู่โจมหัวใจอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ทันมีใครพูดอะไรมากกว่านั้นก็มีเสียงร้องเรียกชื่อ ‘วิน’ ลอยมา เขาหันไปมอง พยักหน้าให้คนเรียกก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้พวกเธออีกหน
“พี่ขอตัวก่อนนะ เจอโจทก์พอดี”
“ไว้เจอกันค่ะพี่วิน” ปริยากรตอบทั้งรอยยิ้มสดใส เธอรอจนกระทั่งหนุ่มรุ่นพี่ผละห่างไปพอสมควรแล้วจึงหันกลับไปหาเพื่อน “เป็นไงบ้างแก”
“พี่เขาดีกว่าที่ฉันมโนไว้อีกอ่ะ” ปภาวรินท์คว้าแขนเพื่อนหมับ สีหน้าท่าทางประหนึ่งจะร้องไห้ “หล่อ เสียงเพราะ แล้วยังใจดีอีก”
“เก่งด้วย” คนเป็นเพื่อนชี้ให้เห็นความจริง “แต่แกรีบเรียกสติกลับเข้าร่างก่อน จะได้ไม่เฟอะฟะอีก”
“ก็เพราะแกแหละ ทำไมไม่บอกก่อนว่าพี่วินเดินมาทางนี้ ฉันตั้งตัวไม่ทัน” สาวร่างเล็กเอะอะ…เวลาเธอตื่นเต้นมักจะเกิดเหตุคาดไม่ถึงแบบนี้ทุกที “ดูสิ ฉันทำเสื้อเขาเปื้อนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แล้วแกยังเอาฉันไปขายว่าเป๋อเหลออีก”
“คิดในแง่ดี พี่เขาจะได้จำแกได้แม่นๆ ไง” ปริยากรยักไหล่ไม่นำพา
“จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ปภาวรินท์พึมพำ ดวงตาทอดไปหาอาชวินซึ่งเดินไปยืนอยู่กับหนุ่มๆ กลุ่มใหญ่อีกรอบ
“แหม ทีอย่างนี้ล่ะกลัวไม่ได้เจอกันอีก” ฝ่ายเพื่อนสนิทกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ “สรุปว่าอยากเจออยากรู้จักเขาแล้วใช่ป่ะ”
“ยังไงตอนนี้ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนี่” คนตัวเล็กพูดหงุงหงิง
“อาฮะ แต่ก่อนอื่นสืบให้แน่ก่อนแล้วกันว่าพี่เขายังโสด” ปริยากรพยักพเยิดไปทางอาชวิน เวลานี้มีสาวสวยคนหนึ่งซึ่งเธอไม่รู้จักเดินเข้ามาทักทายอีกฝ่าย ท่าทางสนิทสนมกันดีทีเดียว ครั้นเหลือบไปเห็นเพื่อนหน้าม่อยเธอก็กลอกตา “เนี่ย ปีก่อนโสดชัวร์ๆ ไม่ยอมเข้าไป ถ้าปีนี้พี่เขาไม่โสดจนแกแห้วก็ต้องโทษตัวเองน่ะแหละ”