LOVE
ทดลองอ่าน ปภาวินท์ บทที่ 1
ทำไมมันมืดและเงียบจังเนี่ย…
ปภาวรินท์เร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงรถเร็วที่สุด เธอเพิ่งออกจากงานเลี้ยงของพวกภักดิ์โภคิน ปริยากรจอดรถที่ชั้นล่าง เธอเลยเดินขึ้นบันไดต่อมายังชั้นบนของตึกจอดรถตามลำพัง ตอนแรกเพื่อนก็บอกจะวนรถขึ้นมาส่งอยู่หรอก แต่เธอปฏิเสธเพราะเห็นว่าแค่ชั้นเดียว มาถึงตอนนี้หญิงสาวชักจะเสียใจแล้วที่ตัดสินใจไปแบบนั้น เพราะเธอเกลียดบรรยากาศแบบนี้ที่สุด
เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทั้งที่มีรถจอดอยู่เต็มแน่น แต่ชั้นนี้ของตึกจอดรถกลับไม่มีกระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นมันค่อนข้างมืดมากทีเดียวเนื่องจากโรงแรมไม่ยอมเปิดไฟ อาจเพราะเห็นว่าเวลานี้ควรจะมีแสงสว่างจากข้างนอกเพียงพอ แต่ความจริงกลับตรงข้ามด้วยเมฆครึ้มที่บดบังแสงแดด หนำซ้ำการออกแบบตึกจอดรถก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นคลอกับเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอ ความรู้สึกบางอย่างเสียดแทงขึ้นมาในอกแบบไม่ทันตั้งตัว เธอต้องสูดหายใจลึกและปลอบประโลมมันไม่ให้แผลงฤทธิ์ด้วยการบอกตัวเองว่า ‘ไม่มีอะไร’ ทว่ามันก็ใช้เวลาไม่นานนักในการตะกุยตะกายปีนกลับขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้สึกว่าเสียงฝีเท้าปริศนานั้นเร็วขึ้นและใกล้เข้ามา ดวงหน้าสวยหันไปมองเร็วๆ เธอไม่พบใครหรืออะไรทั้งนั้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้แตกตื่นยิ่งกว่าการได้เห็นเจ้าของฝีเท้าเสียอีก
ความกลัวทะลักทลายออกมาราวเขื่อนกั้นพังภินท์ ไอเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่าง ปภาวรินท์พยายามควบคุมมัน ทว่ามันก็แทบไม่ต่างจากการพยายามควบคุมม้าที่กำลังพยศ และสุดท้ายเมื่อความทรงจำเก่าหลั่งไหลมาสมทบเป็นทัพเสริม เธอก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า สติแตกแล้ววิ่งหนีไปทรุดตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งในสภาพมือไม้เย็นเฉียบ เนื้อตัวสั่นเทาแบบควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ หัวใจเต้นระรัว ในหัวเต็มไปด้วยความกลัวและประโยคเดียวที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา
ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว…
จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ปภาวรินท์กรี๊ดออกมานิดหนึ่งด้วยความตกใจ เธอหันขวับไปมองเจ้าของเสียง และต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าสมองจะส่งสัญญาณบอกว่าเขาคืออาชวิน สีหน้าท่าทางเขาดูตกใจพอกัน
“พี่ทำให้ตกใจใช่ไหม ขอโทษครับ”
“มะ…ไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวละล่ำละลักปฏิเสธ “คือ…คือปิน…ปินนึกว่ามีคนตามมา”
“นอกจากน้องปินก็มีพี่คนเดียวครับ รถพี่จอดที่ชั้นนี้” สถาปนิกให้ข้อมูลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ไม่มีคนอื่นจริงเหรอคะ”
“ไม่มีครับ” อาชวินยืนยันหนักแน่น
“เมื่อกี้ปินมองไปแล้วไม่เห็นใคร…” ปภาวรินท์หยุดแค่นั้น ไอร้อนแล่นขึ้นมาเกาะแก้มนวลด้วยความรู้สึกอับอาย “เอ้อ สงสัยปินจะประสาทเสียไปเองเลยไม่เห็นพี่วิน”
“มันมืดด้วยแหละ” เสียงทุ้มปลอบประโลม จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเมื่อเห็นเธอขยับทำท่าจะลุก “พี่ช่วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยอมวางมือลงบนมือใหญ่เพื่อให้เขาเป็นหลักยึดในการลุกยืน ดวงตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบลงต่ำ “เอ่อ ปินขอโทษอีกทีนะคะ”
“เท่าที่พี่รู้การตกใจและระวังตัวไม่ถือเป็นความผิดนะ” อาชวินส่งยิ้มให้เธอ “รถน้องปินอยู่ไหน พี่เดินไปส่งนะ”
ปภาวรินท์พยักหน้ารับอย่างประหม่า จากนั้นก็ออกเดินแบบเก้ๆ กังๆ ไปยังรถที่จอดอยู่สุดมุมอาคาร ในอกยังคงรู้สึกแตกตื่น ทว่าเป็นคนละเหตุผลกับทีแรก และแน่นอนว่าความอับอายก็ยังไม่ยอมถอยไปไหน เธออยากเจอเขาอีก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ หนำซ้ำเธอยังอยู่ในสภาพสติแตกด้วย
“น้องปินขับรถไหวแล้วแน่ใช่ไหม” สถาปนิกรูปหล่อออกปากถามขณะที่เธอกดรีโมตปลดล็อกรถ
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า
“งั้นขับรถดีๆ นะ”
รอยยิ้มของอาชวินทำให้ดวงตาของเธอพร่างพราย มันแทบจะขับไล่ความกลัวที่ยังตกค้างอยู่ในกระแสความรู้สึกไปได้ทั้งหมด หัวใจกระตุกเต้นอย่างตกใจอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเหตุผลใหม่ มันผลักดันให้เธอรีบเปิดประตูขึ้นรถ กระทั่งสตาร์ตรถแล้วเธอจึงมีสติพอจะตระหนักว่าเขาไม่มีทางได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น ดังนั้นเธอจึงสูดลมหายใจลึกแล้วลดกระจกรถลงเพื่อยกมือไหว้เขา
“ขอบคุณมากนะคะพี่วิน กลับบ้านดีๆ เหมือนกันนะคะ”
ปภาวรินท์ได้รับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ตอบกลับมาอีกหน เธอคิดว่าสามารถมองรอยยิ้มของสถาปนิกหนุ่มได้ทั้งวัน แต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้เธอจึงกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นแล้วออกรถ โดยที่ก็ยังไม่วายเหลือบมองร่างสูงผ่านทางกระจกมองหลังอีกหน
มันน่าแปลก ทั้งที่เวลาก็ผ่านมานานแล้วนับจากวันแรกที่เธอได้พบและประทับใจในตัวอาชวิน ทว่าพอวันนี้เขาเดินกลับเข้ามาในชีวิต มันกลับคล้ายเธอเพิ่งเห็นเขาในมหาวิทยาลัยเมื่อวานนี้เอง ที่เพิ่มเติมคือครั้งนี้เธอได้พบประสบกับตัวโดยตรงว่าเขาใจดีมาก…เธอนี่สิ เจอกันวันแรกก็มีแต่เรื่องดีๆ ให้เขาประทับใจทั้งนั้น แรกสุดทำเสื้อเขาเปื้อน แล้วต่อมาก็ยังสติแตกให้เขาเห็นอีก
ทำไมจิตใจเธอไม่ยอมลืมเรื่องนั้นไปสักทีนะ เวลาก็ผ่านมานานแล้ว เธอคิดว่าตัวเองโอเค ทว่าเหตุการณ์เมื่อกี้คือข้อพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาเธอแค่หลอกตัวเองเท่านั้น
แต่มองในแง่ดี พี่วินคงลืมเราไม่ลงแล้วจริงๆ ปภาวรินท์หาทางเยียวยาจิตใจตัวเอง ขณะเดียวกันความคิดก็ล่องลอยกลับไปหาชายหนุ่มอีกหน…ไม่ว่าอย่างไร เธอแน่ใจแล้วว่าไม่อยากปล่อยโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักเขามากขึ้นผ่านไป แม้จะยังนึกไม่ออกเลยก็ตามว่าควรต้องทำอย่างไร
แต่ก่อนอื่น…ต้องหาทางรู้ให้ได้ก่อนว่าเขาโสดหรือเปล่า!
ติดตามบทที่ 1-2 ได้แล้ววันนี้!