บทที่ 4 โอกาสที่ไม่ปล่อยให้ลอยผ่านไป
ถึงแม้ปริยากรจะสันนิษฐานไว้ว่าอาชวินน่าจะรู้เรื่องโครงการรีโนเวตโรงแรมของเจ้าสัวประดิษฐ์อยู่แล้วและน่าจะสนใจโครงการนี้อยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกให้ปภาวรินท์รับรู้ ไม่มีคำพูดใดที่ใกล้เคียงกับการเสนอตัวเองเลย เขาเพียงเล่าถึงขั้นตอนในการคัดเลือกบริษัทสถาปนิกซึ่งก็มีหลากหลายวิธี การเซ็นสัญญาซึ่งมีหลายแบบ ไล่ไปจนถึงขั้นตอนการทำงานหลังจากนั้นตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงตอนที่สร้างตึกเสร็จ และเขาก็ไม่แสดงท่าทีรำคาญเลยสักนิดเมื่อเธอขอหยุดเพื่อจดข้อมูลลงในมือถือ แถมยังทวนรายละเอียดให้เธอฟังอย่างใจเย็นด้วย
ยิ่งแพ้ผู้ชายใจดีอยู่ด้วย…สาวร่างเล็กทอดถอนใจ เธอเปิดบทสนทนาเรื่องนี้เพื่อเป็นเหตุผลในการได้ใช้เวลากับอาชวินก็จริง แต่เธอก็มีอีกเหตุผลคือการเอาข้อมูลพวกนี้ไปคุยกับพ่อ ท่านจะได้เห็นว่าเธอมีความรู้ด้านนี้พอที่จะช่วยงานได้ด้วย
“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” ปภาวรินท์ร้องออกมาเมื่อเห็นเวลาบนหน้าจอมือถือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเกรงอกเกรงใจ “ปินไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเวลาพี่วินนานขนาดนี้ ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุยเพลินๆ พี่หายปวดหัวแล้วด้วย” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “แล้วนี่น้องปินจะกลับเลยหรือเปล่า เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบโบกไม้โบกมือ “ปินตั้งใจว่าเดี๋ยวจะไปเดินซื้อมื้อเย็นกลับไปกินที่ห้องก่อนด้วย”
“อืม นั่นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” อาชวินคิดตามและเห็นว่าไม่เลว นี่ก็บ่ายแก่แล้ว ถ้าเขากลับขึ้นห้องพักเลยตอนนี้อีกไม่นานก็ต้องกลับลงมาซื้อของกินอยู่ดี “เอาล่ะ งั้นพี่ก็ขอพ่วงไปด้วยแล้วกัน”
ปภาวรินท์มองรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาแล้วเกือบเผลอครางออกมา…โอ๊ย แบบนี้มันก็คล้ายกับเดตเลยไม่ใช่เหรอ!
ปภาวรินท์พยายามสะกดตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เพ้อเจ้อขณะเดินไปกับสถาปนิกหนุ่ม…โครงการนี้เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการไม่นาน ส่วนที่เป็นคอนโดฯ ที่พักยังเปิดใช้งานไม่ครบทุกตึก แต่โซนร้านค้าเปิดเกือบครบทั้งหมดแล้ว ด้วยความที่มันอยู่ใกล้ในระยะเดินจากคอนโดฯ ที่พักได้แบบไม่เหนื่อยเธอจึงแวะมาที่นี่อยู่เนืองๆ ทว่าวันนี้มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมีอาชวินเดินอยู่ด้วย
เขาให้เธอเลือกร้านอาหารที่อยากสั่งข้าวกลับไปกินเป็นมื้อเย็น หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเลือกร้านอาหารเกาหลีเจ้าดัง แม้จะรู้ว่าร้านนี้ต้องรอคิวนานมาก แต่เธอก็คิดว่ามีเวลา…อีกอย่างเธอจะได้ใช้เวลากับอาชวินนานๆ ด้วย
ตอนไปถึงที่ร้าน มีคนทั้งนั่งและยืนออต่อคิวจำนวนมาก ยิ่งไปถามพนักงานจนได้รู้จำนวนคิว จากที่ตอนแรกเธอคิดว่าไม่เดือดร้อนกับการรอก็ชักไม่แน่ใจ และเธอก็เกรงใจชายหนุ่มด้วย
“เปลี่ยนไปร้านอื่นกันดีไหมคะ”
“น้องปินอยากกินไม่ใช่เหรอ คิวเยอะก็ไม่เป็นไรหรอก เรากดคิวแล้วก็สั่งอาหารทิ้งไว้ พอถึงคิวแล้วได้อาหารก็ค่อยให้พนักงานโทรไปเรียกก็ได้ ส่วนเราก็ไปเดินเล่นรอกัน” เขาแนะ
ทั้งหมดทั้งมวลที่ปภาวรินท์สนใจอยู่ที่ประโยคสุดท้ายนั่นเอง ดังนั้นเธอเลยตอบตกลงแล้วหันกลับไปเจรจากับพนักงาน รวมถึงแนะนำเมนูอาหารให้ชายหนุ่มซึ่งบอกว่าเขาไม่เคยกินอาหารร้านนี้มาก่อนด้วย จากนั้นเขาก็ชวนเธอเดินไปทางลานอเนกประสงค์ด้านหลังของโครงการซึ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ปกติเธอไม่ค่อยได้เดินลึกไปแถวนั้นเท่าไหร่เพราะมันไกล แต่แน่นอนว่าครั้งนี้เธอไม่อิดออดอยู่แล้ว
ใจหญิงสาวนั้นอยากทำความรู้จักอาชวินให้มากกว่านี้ แต่เธอก็เตือนตัวเองว่าต้องสงวนท่าทีเอาไว้บ้าง เธอจึงเลือกชวนเขาคุยเรื่องงานแทน เพราะเท่าที่คุยกันเธอก็ตระหนักว่าเขารักและภูมิใจในงานของตัวเองมาก เธอเลยสารภาพกับชายหนุ่มว่ารู้จักชื่อเสียงของเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและติดตามผลงานของเขาเรื่อยมา เขาดูแปลกใจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นประกายสว่างไสวในดวงตาคม นั่นทำให้เธอรู้ว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ชวนคุยเรื่องนี้
ปภาวรินท์ใช้เรื่องที่ตัวเองทำงานสายออกแบบเหมือนกันเป็นข้ออ้าง ขอให้เขาเล่าเกี่ยวกับการทำงานและแรงบันดาลใจให้ฟัง ดังนั้นระหว่างเดินไปยังลานอเนกประสงค์เขาเลยเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังเยอะแยะ และมีไม่น้อยที่เกี่ยวกับโครงการสกายไลน์ ซึ่งกลายเป็นเธอฟังเพลินไปจริงๆ เสียด้วย