ที่ลานมีคนอยู่พอสมควร โต๊ะและม้านั่งถูกจับจองหมดแล้ว แต่ก็ยังมีเนินลาดที่ปูด้วยหญ้าเทียมที่ให้คนใช้นั่งเล่นได้ สองหนุ่มสาวเลยเลือกจับจองเนินหญ้าจุดที่ว่าง
“แสดงว่าตรงนี้ก็ออกแบบเพื่อรับลมจากแม่น้ำให้เย็นสบายด้วยใช่ไหมคะ ตอนแรกปินนึกว่าออกแบบให้สวยงามเฉยๆ เสียอีก” หญิงสาวเหลือบมองหลังคาซึ่งอยู่สูงขึ้นไป
“ครับ อย่างที่พี่บอกแหละ พี่เน้นหลักสบายตาสบายตัว ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับคน มันจะต้องใช้งานได้ตามฟังก์ชันที่ควรจะเป็น และในขณะเดียวกันก็สวยน่ามองด้วย…อ้อ แล้วที่สำคัญคือห้ามเกินงบ” อาชวินหัวเราะปิดท้าย
“พอมานั่งในวันที่พอมีลมแบบวันนี้ก็เย็นสบายใช้ได้เหมือนกันนะ พี่วินเก่งจัง”
“ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอก โครงการใหญ่แบบนี้ใช้ทีมงานเยอะมาก พี่โชคดีที่มีทีมงานดีๆ อย่างวี…เพื่อนสนิทพี่น่ะ เป็นคนคอยดึงพี่ไว้ไม่ให้ใช้งบเกินตลอดเลย ถ้าไม่มีวีป่านนี้พี่อาจต้องปิดบริษัทไปแล้วก็ได้”
คนเราเนาะ เก่งแล้วยังถ่อมตัว น่ารัก…ปภาวรินท์รู้ตัวว่ากำลังลำเอียงด้วยฉันทาคติส่วนตัว แต่เธอก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะชื่นชมเขา
“ปินโชคดีจังที่ได้คุยกับพี่วิน ปินชอบงานพี่วินมานานเพราะเห็นว่ามันสวยดี พอได้คุยกันปินยิ่งรู้สึกว่าเลือกไอดอลถูกคนแล้วเพราะงานของพี่วินมีอะไรลึกซึ้งกว่าความสวยเยอะเลย ต่อไปเวลาทำงานปินจะพยายามคิดอะไรให้รอบด้านแบบพี่วิน” หญิงสาวตั้งใจจะอวยเขาก็จริง แต่ขณะเดียวกันเธอก็พูดออกไปจากใจจริงด้วย
อาชวินหันไปสบตากับหญิงสาว ที่ผ่านมามีคนแสดงความชื่นชมเขาไม่น้อย สำหรับครั้งนี้เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเธอ ดังนั้นเขาจึงยกมุมปากเป็นรอยยิ้มตอบกลับไป…ความจริงที่เขาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้เธอฟังหลักๆ แล้วอาจพูดได้ว่าเขาหวังผล แม้ไม่รู้ว่าเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกบริษัทสถาปนิกไปทำโครงการรีโนเวตโรงแรมไหม แต่ในเมื่อมีโอกาสขายงานแบบเนียนๆ เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป
“พี่วิน”
เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง อาชวินหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มทักทายอย่างแปลกใจ
“กานต์ ทำไมมาเดินแถวนี้ได้ล่ะ พี่นึกว่าวันหยุดเราไปอยู่ที่บ้านริมน้ำเสียอีก”
“ก็อยู่ที่บ้านริมน้ำแหละ เพิ่งขึ้นมาจากเรือเลยเนี่ย” หญิงสาวผมซอยสั้นในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนขาเดฟพยักพเยิดไปทางท่าเรือ ก่อนจะคุกเข่าลงมานั่งคุยกับสองหนุ่มสาว
“พี่ไม่ทันสังเกตเลย” ชายหนุ่มหันมองตามและพบว่าตอนนี้มีเรือยอชต์มาเพิ่มจากเดิมลำหนึ่งจริงๆ ครั้นหันกลับมาก็พบว่าสายตาของเพื่อนรุ่นน้องเบนไปหาปภาวรินท์แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรเธอก็ทักขึ้นมาก่อน
“คุณปินใช่ไหมคะ”
“ค่ะคุณกานต์…เอ๊ะ จะว่าไป โครงการสกายไลน์นี้เป็นของครอบครัวคุณกานต์นี่นา” สาวร่างเล็กนึกขึ้นได้
“ค่ะ แล้วคุณปินแวะมาเที่ยวหรือว่าพักอยู่ในโครงการนี้ด้วยคะเนี่ย”
“ฉันอยู่คอนโดฯ ใกล้ๆ นี้ค่ะ พอดีแวะมาหาอะไรกินแล้วก็บังเอิญเจอพี่วิน” ปภาวรินท์อธิบาย
อาชวินดูหญิงสาวสองคนคุยกันเงียบๆ ไม่แปลกใจที่ทั้งสองรู้จักกัน คนหนึ่งเป็นลูกสาวเจ้าสัวประดิษฐ์ซึ่งมีหน้ามีตาในสังคม ขณะที่อีกคนเป็นอดีตลูกน้องสถาปนิกของเขา แต่ตอนนี้มีฐานะเป็นภรรยาของธีรดนย์ ภักดิ์โภคิน นักธุรกิจใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการสกายไลน์แล้ว อย่างน้อยที่สุดทั้งสองก็ต้องเคยเจอกันตามงานสังคม
“น้องปินเป็นรุ่นน้องเรียนมหา’ลัยเดียวกับพี่น่ะ…ก็เพื่อนร่วมมหา’ลัยของกานต์ด้วยนั่นแหละ” ชายหนุ่มอธิบายยิ้มๆ เมื่อรุ่นน้องหันกลับมามองเขา
“จริงเหรอเนี่ย เจอกันมาตั้งนานแล้วไม่รู้เลย” กานต์หันกลับไปฉีกยิ้มให้ปภาวรินท์อีกรอบ
“แล้วนี่กานต์มาที่คอนโดฯ ทำไม หรือว่ามาซื้อของ”
“เปล่า มาดูร้านเจลาโต้ให้คุณน้าบุษ…ท่านไปเที่ยวอิตาลีแล้วเจอร้านเจลาโต้แบบอร่อยมาก ท่านนึกอยากให้มีสาขาที่เมืองไทยจะได้กินได้ทุกเมื่อที่อยากกิน เลยไปขอซื้อแฟรนไชส์มาเปิดร้าน” สถาปนิกสาวยิ้มขันเมื่อเล่าถึงความง่ายในการเลือกทำธุรกิจของน้าสามี…เหตุผลคือความพอใจล้วนๆ ไม่ต้องคำนวณตัวเลขให้ยุ่งยาก “ร้านจะเปิดพรุ่งนี้แล้ว แต่เหมือนการตกแต่งในร้านจะมีปัญหา ท่านเลยโทรเรียกมาช่วยดู”