“ปิน…ขอโทษค่ะ” ปภาวรินท์พึมพำแบบไม่มีสติเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรๆ แล้วเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า น้องปินเหมือนกำลังวิ่งหนีใครหรืออะไรเลย” ดวงตาคมกวาดมองคนตัวเล็กอย่างสำรวจ สถาปนิกหนุ่มมาถึงหน้าร้านกาแฟซึ่งเป็นจุดนัดพบครู่หนึ่งแล้ว และเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติจากการที่เธอวิ่งหน้าตาตื่นมาแต่ไกล และถ้าเขาไม่ตั้งตัวเพื่อคว้าร่างเธอไว้แต่แรก อีกฝ่ายก็คงจะวิ่งผ่านร้านกาแฟไปแล้วแน่ๆ
“ปิน…เห็นเหมือนมีคนตามมา” ตอนแรกเธอลังเล แต่พอคำพูดหลุดออกไปได้แล้วมันก็รัวจนแทบฟังไม่ทัน “พี่วินเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางกับกางเกงยีนไหม”
อาชวินเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่หญิงสาววิ่งมา ใช้เวลาสอดส่ายสายตาครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่เห็นนะ แต่น้องปินแน่ใจใช่ไหม ถ้ายังไงเราไปขอดูกล้องวงจรปิดได้นะ เดี๋ยวเราน่าจะได้เจอคุณบุษ ท่านน่าจะช่วยได้”
พอมาถึงจุดนี้ปภาวรินท์กลับลังเล แล้วเธอก็ส่ายหน้าไปมาหลังจากใช้เวลาตัดสินใจครู่หนึ่ง
“น้องปินแน่ใจนะว่าไม่อยากดูกล้องสักหน่อย มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่น้องปินกลัวว่ามีคนตามที่ลานจอดรถโรงแรมเมื่อวันก่อนนู้นด้วยหรือเปล่า” ชายหนุ่มไม่ราข้อ มือเรียวที่ยึดอยู่กับท่อนแขนของเขานั้นเย็นเฉียบ ไหนจะสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกจนเกือบเป็นสติแตกของเธออีก ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเธอกำลังกลัวมากจริงๆ
“คือปินเคยโดนคนสะกดรอยตาม” หญิงสาวพูดเสียงแผ่วเบาแทบเป็นกระซิบ “แล้วตั้งแต่นั้นบางทีปินก็ประสาทเสียและคอยแต่จะหลอนไปเอง เมื่อกี้ปินก็ไม่รู้ว่ามีคนตามมาจริงไหม ปินแค่รู้สึกอย่างนั้น…แต่มานึกดูอีกทีมันก็อาจไม่มีอะไรก็ได้ เพราะปินดูแล้วดูอีกตอนเดินมานี่ก็ไม่เห็นอะไร กระทั่งเห็นภาพผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนในกระจกแล้วปินก็สติแตก”
“แต่ยังไงก็ดูกล้องเพื่อความแน่ใจได้นะ”
“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขอโทษพี่วินด้วยนะคะที่ทำให้ตกใจ แล้วก็ขอบคุณมากที่ดึงปินไว้” ปภาวรินท์ส่ายหน้าไปมา
“โอเค” อาชวินไม่ดึงดันอีก เพราะเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกับอีกฝ่ายมากพอ อีกอย่างเขาก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าตัวด้วย “แล้วนี่น้องปินไหวไหม นั่งพักก่อนดีรึเปล่า…หรือถ้าไม่อยากไปร้านเจลาโต้แล้วเดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่คอนโดฯ ได้นะ พี่จะบอกกานต์ให้เองว่าน้องปินไม่สบาย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปินไม่เป็นไร…อยู่ในที่ที่คนเยอะๆ ดีกว่า ปินจะได้ดึงสติกลับมาได้”
“โอเค งั้นเราค่อยๆ เดินกันไปแล้วกัน” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ลอบเหลือบมองรอบตัวตอนที่ปภาวรินท์ไม่ทันสังเกตเพื่อไม่ให้เธอตกใจ…เขายังคงไม่พบผู้ชายที่เธอกล่าวถึง ทางที่ดีก็ขอให้เป็นการเข้าใจผิดไปเองของเธอน่าจะดีกว่า
ปภาวรินท์ตระหนักดีว่าอาชวินดูแลเธออย่างดีเหลือเชื่อตลอดการเดินทางไปยังร้านเจลาโต้ เขาชวนเธอคุยเรื่องสัพเพเหระไร้สาระให้เธอผ่อนคลาย และที่สำคัญเขาไม่หัวเราะเธอเลยสักนิดกับอาการสติแตกที่ประสบพบเจอ ดังนั้นเธอจึงออกปากจะเลี้ยงเจลาโต้เพื่อขอบคุณเขา ตอนแรกชายหนุ่มดูแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ยิ้มรับง่ายๆ
ร้านเจลาโต้อยู่ในโซนใหม่ที่เพิ่งเปิดไม่นาน ยังมีหลายร้านที่อยู่ในระหว่างตกแต่ง แต่ปภาวรินท์ก็สังเกตเห็นว่ามีร้านเก๋ๆ น่าสนใจหลายร้าน ส่วนร้านเจลาโต้นั้นโดดเด่นชนิดเห็นแต่ไกลด้วยโทนสีพาสเทล และยิ่งวันนี้เป็นวันเปิดร้านก็มีการตกแต่งดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ บริเวณหน้าร้านมีลูกค้าค่อนข้างหนาแน่น เท่าที่หญิงสาวกวาดตามองผ่านๆ มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาพอสมควรทีเดียว
ส่วนกานต์ซึ่งเป็นคนชวนสองหนุ่มสาวเมื่อวานนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน ดูเหมือนเธอกำลังป้อนเจลาโต้ให้ลูกสาวในรถเข็นเด็กกินอยู่ พอเงยหน้ามาเจอสองหนุ่มสาวเดินมาด้วยกันก็ร้องทัก