ภูริตาเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่ชะตานำพาให้ได้มารู้จักกันที่ค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่จังหวัดเชียงราย ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ดันมาสนิทกับภูริตา คุณหนูแสนสำอางที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตลอดระยะเวลาในการอยู่ค่ายนอกจากจะต้องแบกหามทำงานกรรมกรเพื่อพัฒนาโรงเรียนให้เด็กๆ ผู้ด้อยโอกาส แล้วยังต้องมาปวดหัวกับเพื่อนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างอีกด้วย
ออกแดดไม่ได้
ยกของหนักไม่ได้
ล้างจานไม่ได้
เจอฝุ่นเยอะไม่ได้
อะไรๆ ก็ไม่ได้สักอย่าง
กลายเป็นว่าเธอต้องทำแทนเกือบทั้งหมด ยังดีที่ฟ้าส่งเพื่อนรุ่นน้องผู้แสนน่ารักว่าง่ายอย่างจิรัศยามาอยู่กลุ่มเดียวกัน คอยแบ่งความปวดหัวไปคนละครึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเธอกับภูริตาและจิรัศยาก็กลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด จิรัศยาน่ารักนิสัยดีมีน้ำใจ หญิงสาวอยู่ใกล้ใครคนนั้นก็ต้องรักอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนภูริตาแม้ว่าจะมีนิสัยไม่สู้งานจนบางครั้งกลายเป็นเอาเปรียบคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่จริงๆ แล้วหญิงสาวเป็นคนจิตใจดีมากคนหนึ่ง ถึงแม้ความจริงข้อนี้จะอยู่ลึกมากก็ตาม
สรุปก็คือหลังกลับมาจากค่ายเธอก็ยกให้ภูริตาและจิรัศยาเป็นเพื่อนที่เธอจะคิดถึงเสมอ
แต่ใครบางคนดูเหมือนจะไม่คิดแบบเดียวกัน
“เวไปทำอะไรมา ท้วมขึ้นนะ แล้วก็ดำขึ้นเยอะเลย”
กาลเวลาดึงมุมปากจนเป็นเส้นตรง เมื่อกี้เธอขอถอนคำพูดได้ไหมที่บอกว่าจะคิดถึงภูริตาเสมอ เธอขอคิดถึงจิรัศยาคนเดียวก็แล้วกัน
“หมู่นี้กินเยอะไปรึเปล่าเว แก่ไปจะลดลำบากนะ”
กาลเวลาหัวเราะขื่นๆ อยากจะยกมือฟาดอีกฝ่ายสักป้าบ แต่ก็ไม่ได้ทำ
“ฉันเป็นบล็อกเกอร์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวน่ะ ทำงานหนักเลยกินหนักมือ แล้วก็ตากแดดเยอะไปหน่อยเลยผิวเข้มขึ้น แล้วแพมล่ะเป็นไงบ้าง เตี้ยลงรึเปล่า” เธอแกล้งปรายตามองคนตรงหน้าที่ตัวเล็กกว่าเธอ
“พูดจาไม่เข้าหู เดี๋ยวจะโดนไม่น้อยนะเว”
“แล้วนี่แพมมาทำอะไรที่นี่ จะช็อปปิ้งเหรอ ร้านนี้ป่ะ เดี๋ยวฉันช็อปเป็นเพื่อน มีสวยๆ หลายตัวเลย” เธอเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะมีการวิวาทเกิดขึ้น
“คนอย่างภูริตา ไม่เคยซื้อของเซลส์”
กาลเวลาย่นคิ้ว เมื่อครู่เห็นชัดว่าภูริตากำลังจะก้าวเท้าเข้าร้านด้วยซ้ำไป แต่พูดไปก็คงหักหน้าอีกฝ่ายเปล่าๆ จึงแสร้งยิ้มอ่อน
“เออๆ ไม่เคยก็ไม่เคย แล้วนี่แพมจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปหาอะไรกินกันไหม” บอกแล้วไงว่าเธอแสนจะคิดถึ้งคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“ไปสิ ฉันรู้จักอยู่ร้านนึงขายไวน์กับสเต๊ก อยู่แถวพลาซ่าใกล้ๆ ทางเชื่อมรถไฟฟ้า”
“เอาดิ น่าสนใจ ร้านไหนล่ะ”
กาลเวลายิ้มแล้วชวนกันเดินไปยังทิศทางของร้านที่ภูริตาเป็นผู้เลือก แต่ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวลงบันไดเลื่อน เสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้เธอกับภูริตาต้องชะงัก
“พี่เว…พี่แพมใช่ไหมคะ”
ภูริตาย่นคิ้วมองหญิงสาวด้วยสีหน้าฉงน “แกรู้จักไหมเว”
กาลเวลาหรี่ตามองอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะระยะห่างที่มากเกินไป แต่ครู่เดียวหญิงสาวก็รีบแนะนำตัว นั่นทำให้รอยยิ้มเธอกระจ่างขึ้นมา
“จิไงคะ…น้องจิ”
รุ่นน้องสาวตะโกนบอกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้ ซึ่งจริง แต่เป็นภูริตาคนเดียวไม่ใช่เธอ
“อย่าเพิ่งไปนะคะ อยู่ตรงนั้นนะ จิจะลงไปหาเองค่ะ”
หญิงสาวบอกแล้วรีบลงบันไดเลื่อนตรงมายังพวกเธอด้วยสีหน้าไม่ปิดบังความดีใจ
ทักทายกันอยู่ครู่หนึ่งภูริตาก็ออกปากชวนจิรัศยาไปทานมื้อเย็นด้วยกันเสียเลย นับว่าเป็นเรื่องดีที่อยู่ๆ เธอก็ได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันไปนานพร้อมกันถึงสองคน
“วันนี้พี่เลี้ยงเองน้องจิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะพี่แพม จิกับพี่เวทำงานกันแล้ว จิเกรงใจค่ะ”
“พี่ไม่รีดเลือดกับปูจนๆ หรอกนะ โดยเฉพาะยายจิ ให้พี่เลี้ยงน่ะดีแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เถอะน่า อย่าเถียงผู้ใหญ่ อยากกินอะไรสั่งเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”