บทที่ 1
หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีร่างผอมบาง สูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนติเมตร ผมดำขลับยาวประบ่า ปลายผมมักงอนเหมือนก้นเป็ด ด้านหน้ายาวปิดดวงตาแต่เธอชอบปัดให้พ้นหน้าผาก ดังนั้นจึงมักมองเห็นหน้าผากที่รับกับดวงหน้าเล็กๆ นั้น จิรัศยาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัว กระโปรงสอบยาวเสมอเข่า กับรองเท้าคัชชูสีดำ ซึ่งเป็นชุดที่เห็นได้เกือบทุกวัน มันแค่สลับโทนสีไปมาระหว่างขาว เทา ดำ และครีม พนักงานประชาสัมพันธ์ที่ต้องนั่งอยู่บริเวณเคาน์เตอร์หน้าบริษัทถูกคาดหวังให้แต่งกายสุภาพเรียบร้อยมากกว่าใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานของเธอมีสีประจำเป็นสีเทาและเงิน
ผิวของเธอขาวซีด ริมฝีปากบางตรงกลางซึ่งเป็นรอยหยักนั้นเชิดขึ้นนิดๆ รับกับปลายจมูกเล็กๆ พอดิบพอดี ดวงตาเล็กดำสนิทและยาวรี แถมมีเปลือกตาแค่ชั้นเดียว จิรัศยาเคยคิดจะทำศัลยกรรมให้เปลือกตากลายเป็นสองชั้น แต่เมื่อเห็นราคาแล้วก็จำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป ทุกวันนี้หากวันใดตื่นเช้ากว่าปกติก็จะมีเวลาแต่งเติมใบหน้าด้วยเครื่องสำอางมากหน่อย และมันจะกลายเป็นวันที่เธอมีดวงตาสองชั้นเหมือนคนอื่นบ้าง
ขณะนี้สองมือของเธอเต็มไปด้วยแก้วกาแฟและอาหารเช้าที่คนในสำนักงานสั่งซื้อ จิรัศยามาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานร่วมชั่วโมงก็จริง แต่ต้องอุทิศเวลาทั้งหมดนั้นให้กับพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งได้ลิสต์รายการอาหารเช้าที่วางขายอยู่รายรอบอาคารสำนักงานให้เธอเป็นคนไปซื้อมาให้ ในตอนแรกมันเป็นแค่การแสดงน้ำใจของหญิงสาวที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน แต่นานวันเข้าดูเหมือนมันจะกลายเป็นหน้าที่ของเธอไปโดยปริยาย
การรอคอยลิฟต์ของอาคารสำนักงานให้เช่าที่สูงเกือบยี่สิบชั้นก็เหมือนสงครามกลางเมือง มันมีแต่การแก่งแย่งชิงพื้นที่ซึ่งต้องอาศัยความรวดเร็วกับจิตใจที่เด็ดเดี่ยว เพราะหากมัวแต่สงสารหรือแสดงน้ำใจเธอก็อาจสูญเสียโอกาสที่จะไปถึงบริษัททันเวลา เพราะลิฟต์หกตัวนั้นถูกเรียกใช้งานอยู่ตลอดเวลาแทบไม่มีช่องว่างให้กับการรอคอยเลย จิรัศยาจับตาดูว่าลิฟต์ตัวไหนจะลงมาถึงชั้นล่างเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้วิ่งไปต่อคิวหน้าลิฟต์ตัวนั้น แต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างนัก เมื่อลิฟต์ตัวที่ลงมาก่อนกลับเป็นตัวที่อยู่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากที่สุด และผู้คนที่ยืนรออยู่ด้วยกันต่างก็ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงร่างเล็กคนนี้มุดผ่านไปได้
ในที่สุด…เธอก็สามารถช่วงชิงพื้นที่สำหรับการขึ้นลิฟต์ในเช้าวันนี้ได้สำเร็จ มันเป็นลิฟต์ฟากที่จะจอดรับคนจากลานจอดรถชั้นเก้า ซึ่งอาจจะเสียเวลานิดหน่อยแต่ก็ยังดีกว่ารอคอยไปเรื่อยๆ จิรัศยายิ้มให้กำลังใจตัวเองแล้วตะโกนบอกคนที่ยืนอยู่ใกล้ปุ่มควบคุมลิฟต์มากที่สุด ในขณะที่ตัวเธอเองนั้นไม่สามารถยื่นมือออกไปกดปุ่มใดๆ ได้เอง
“ชั้นสิบห้าค่ะ ขอบคุณค่ะ…สิบห้า สิบห้าด้วยค่ะ”
ด้วยเกรงว่าเสียงจะไม่สามารถทะลุไปถึงคนที่ควบคุมลิฟต์ไว้ได้ เธอจึงจำเป็นต้องตะโกนถี่ๆ ข้ามหัวไหล่และศีรษะของคนราวเจ็ดคนออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจดังสวนมาทันที
“ได้ยินแล้วๆ สิบห้าใช่ไหม นี่ๆๆ กดให้แล้ว”
หญิงสาวหน้าสลด แล้วพึมพำ “ขอบคุณค่ะ”
เคยมั้ยที่คุณคิดว่าวันนี้คุณซวยแล้ว แต่ความซวยก็ยังตามมาเป็นซีรี่ส์ไม่หยุดหย่อน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจุดสูงสุดของความซวยนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ วันนี้ของจิรัศยาก็เหมือนกัน เมื่อลิฟต์ที่เธอขึ้นนั้นมันจอดรับและส่งคนทุกชั้น…ทุกชั้นจริงๆ และมันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหายแออัด สองมือที่หิ้วอาหารเช้าเริ่มเมื่อยและอ่อนแรง สองขาบนรองเท้าส้นสูงเริ่มเจ็บ อากาศในลิฟต์ก็เหมือนจะมีไม่พอ หรืออาจจะเป็นเพราะอากาศบริสุทธิ์นั้นปะปนไปด้วยน้ำหอมสังเคราะห์ที่พนักงานออฟฟิศต่างระดมฉีดมาก็เป็นได้ จิรัศยาจึงเริ่มรู้สึกมึนงงคล้ายอาการของคนเมาลิฟต์ ร่างบางถูกเบียดผลักจนไปอยู่มุมอันลึกสุด เธอต้องพยายามไม่ให้กาแฟที่ถือมาหกราดรดผู้โดยสารร่วมลิฟต์ ดังนั้นจึงไม่ได้เฝ้าดูเลยว่าลิฟต์กำลังจอดอยู่ที่ชั้นไหน
มีเสียงสัญญาณดังบอกว่ามันกำลังจะจอดและเปิดรับคนที่ชั้นชั้นหนึ่ง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดก็มีเสียงครางเบาๆ ของหญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จิรัศยา พวกเธอเริ่มซุบซิบแล้วหัวเราะกันคิกคักราวกับเด็กสาว
“เข้าไหมครับ หรือจะรอ”
นั่นเป็นเสียงที่จิรัศยาได้ยิน แต่เธอไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูด น่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านนอกมากกว่าคนที่อยู่ภายในลิฟต์เหมือนเธอ
“เข้า”
อีกเสียงตอบกลับเพียงสั้นๆ น้ำเสียงนั้นฟังนุ่มหูแต่แฝงความเฉียบขาดไว้ จากนั้นจึงเกิดการขยับตัวของฝูงชนภายในลิฟต์อีกครั้ง ทุกคนเบียดกันแน่นขึ้นเพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา สองสาวที่ยืนอยู่ข้างจิรัศยาส่งเสียงเล็กๆ ในลำคอ ฟังดูเหมือนพึงพอใจมากกว่ารำคาญ ที่รู้เพราะตัวเธอนั้นรู้จักเสียงที่เกิดจากความรำคาญของคนอื่นเป็นอย่างดี เธอได้รับมันมาตลอด
คนที่อยู่มุมด้านในสุดไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก มีแต่จะถูกอัดจนแบนแต๋เสียมากกว่า หญิงสาวกำลังหงุดหงิดเมื่อเธอเกือบจะไม่สามารถปกป้องอาหารและเครื่องดื่มในมือไว้ได้ แล้วเสียงสัญญาณเตือนว่าลิฟต์มีน้ำหนักมากเกินไปก็ดังขึ้น คนในลิฟต์หันรีหันขวางมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็มีเสียงที่ยอมจำนนต่อสถานการณ์เอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นท่านขึ้นไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมตามไป”
“ว้า…เข้ามาได้คนเดียว”