ประโยคที่สองเป็นเสียงของหนึ่งในสองสาวข้างกายจิรัศยาบ่นขึ้นเบาๆ ท่าทางจะเสียใจแทนคนที่ยอมก้าวออกจากลิฟต์ไปไม่น้อย เวลานี้หญิงสาวนึกหมั่นไส้ทุกคนที่ทำให้ภารกิจการส่งมอบอาหารเช้าของเธอล่าช้าออกไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดและพร้อมเดินทางอีกครั้งจิรัศยาก็ผ่อนลมหายใจยาว
หลังจากชั้นลานจอดรถก็ไม่มีใครขึ้นมาอีก มีแต่พนักงานบริษัทที่ทยอยออกจากลิฟต์ทีละคนสองคน จนในที่สุดลิฟต์ก็ว่างพอที่พนักงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานอย่างจิรัศยาจะมีโอกาสสำรวจเพื่อนร่วมเดินทางบ้าง ทันทีที่สายตาไปปะทะเข้ากับคนร่างสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรร่างกายของหญิงสาวก็ร้อนวูบวาบขึ้นทันที นั่นคนหรือเทพบุตร…
เขาอยู่ในสูทลายทางทั้งชุด พื้นเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดด้วยเส้นด้ายสีขาว ด้านในเสื้อสูทเป็นกั๊กสีและลายเดียวกัน มันทับเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนเนกไทเป็นสีน้ำเงินเข้มไม่มีลวดลาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันไม่ได้น่าสนหรอกหากคนสวมใส่ไม่ใช่เขา พ่อเทพบุตรคนนี้เป็นชายไทยแน่แต่อาจจะมีเชื้อสายอื่นปนมาด้วย เขาผิวขาวมากกว่าหนุ่มไทยโดยเฉลี่ย จมูกก็โด่งเป็นสันคมกว่า คิ้วหนาและโค้งราวปีกพญาอินทรี ดวงตาโตสีนิล ริมฝีปากหนาแต่น่าจะนุ่ม ริมฝีปากบนนั้นมีรอยหยักชัดเจนราวรูปปั้นกรีก รูปหน้ายาวเรียวรับกับการตัดผมรองทรงสูง เขาต้องรู้แน่ว่าตนเองมีรูปศีรษะที่สวยจึงกล้าตัดผมทรงนี้เพื่ออวดศีรษะทุยนั้น
คาดเดาจากใบหน้าที่ไร้ริ้วรอย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และแววตาที่ยังสดใสนั้น เขาไม่น่ามีอายุเกินสามสิบปี แต่ชายที่แต่งตัวดูภูมิฐานขนาดนี้ก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานได้รวดเร็วจนใครบางคนเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ ได้ มันควรจะเป็นชายวัยกลางคนมากกว่า หรือไม่อย่างนั้นก็มีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด นั่นก็คือ…เขาเกิดบนกองเงินกองทอง เพราะด้วยบุคลิกและท่วงท่าการยืนนั้นบ่งบอกได้เลยว่าเขาถูกอบรมมาอย่างดี หลังไหล่ไม่งุ้ม หน้าอกผึ่งผาย ใบหน้าตั้งตรงแต่ไม่เชิดหยิ่ง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ เขาไม่ได้พิงลิฟต์เพื่อยึดจุดยืนเป็นของตัวเอง แต่กลับพร้อมขยับให้คนใกล้ตัวได้ยืนอย่างสบาย คนที่เกิดมาแล้วมีทุกอย่างพร้อมเพื่อรอต้อนรับเขาให้ได้ใช้ชีวิตบนโลกได้อย่างอิสรเสรีและมีคุณภาพ ก็คงมีลักษณะอย่างพ่อเทพบุตรคนนี้มั้ง จิรัศยาสรุปให้ตัวเองในใจ
เสียงลิฟต์บอกว่าประตูกำลังจะเปิดอีกครั้ง แต่มันยังไม่ถึงชั้นที่เธอทำงานอยู่ เธอพอจะจำได้ว่านี่เป็นชั้นของสองสาวที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ จิรัศยาหันไปมองสาวสวยทั้งคู่แต่วันนี้ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ยอมลงที่ชั้นนี้ และเมื่อประตูปิดอีกครั้งนั่นก็ยืนยันได้ว่าพวกเธอยังคงไปต่อ แปลก…
ในที่สุดก็ถึงชั้นสิบห้า จิรัศยารู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่จะไม่มีโอกาสลอบมองพ่อเทพบุตรคนนั้นอีก หญิงสาวขยับตัวเพื่อที่จะไปยืนหน้าประตูลิฟต์ ของในมือยังคงพะรุงพะรัง ภาพลักษณ์ตอนนี้คงน่าอายเกินกว่าที่จะทิ้งสายตาเพื่ออ่อยผู้ชายสักคน โดยเฉพาะคนที่หล่อเหลาและถูกสเป็กเธอที่สุดคนนั้น ดังนั้นจิรัศยาจึงเอาแต่ก้มหน้างุดขณะรอให้ประตูลิฟต์เปิด แล้วหางตาก็พลันเห็นว่ามือใหญ่ที่มีนิ้วเรียวขาวสวยนั้นกำลังยื่นออกมากดปุ่มประตูลิฟต์ให้ค้างไว้ให้
ดีจัง อย่างน้อยเขาก็เปิดประตูให้
จิรัศยาตั้งใจหันไปมองเขาให้เต็มตาเพื่อจะกล่าวคำขอบคุณ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อถูกคนด้านหลังกระแทกเพื่อให้เธอเดินพ้นจากประตูลิฟต์เร็วขึ้น
“อุ๊ย!”
ไม่ใช่การชนแค่ครั้งเดียวแต่ยังมีการชนตามมาอีกครั้งจนร่างของจิรัศยาโอนเอน และกำลังจะล้มหน้าคว่ำในวินาทีถัดมา แต่ราวโชคชะตาจะส่งทูตสวรรค์มาให้ เมื่อมือใหญ่ยื่นมาคว้าข้อมือของเธอไว้ แรงโน้มถ่วงที่กำลังฉุดให้จิรัศยาล้มไปข้างหน้านั้นถูกแรงดึงมากระชากให้ร่างเธอกลับไปยืนที่จุดเดิม และแน่นอนว่าแรงฉุดกับแรงดึงนั้นไม่สัมพันธ์กัน แทนที่ลำตัวของเธอจะตั้งตรงแต่ร่างบางนั้นกลับกระแทกเข้าที่หน้าอกแข็งแรงเข้าอย่างจัง เกิดเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดตามมาทันที แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่าความรู้สึกที่เย็นวาบตั้งแต่บริเวณหน้าอกจนถึงช่วงกลางลำตัวของจิรัศยา…
ใช่ค่ะ…การกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ส่งผลให้สารพัดแก้วน้ำและถุงอาหารเช้าในความดูแลของหญิงสาวนั้นสะบัดและราดรดลงมาบนตัวของเธอ
…กรรมแล้ว
“ว้าย…”
หญิงสาวจอมซุบซิบสองคนรีบถอยออกห่างจากร่างของจิรัศยาซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถทรงตัวได้ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าหล่อนทั้งสองนั่นแหละที่มีส่วนสำคัญทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จิรัศยากำลังช็อก เธอจึงไม่สามารถต่อสู้อะไรได้ และยังไม่รู้ตัวอีกว่าศีรษะกับลำตัวท่อนบนของเธอนั้นยังฝากไว้ที่หน้าอกของคนที่ช่วยเหลือเธออยู่
“ยืนเองได้รึยังครับ”
คำถามจากน้ำเสียงที่แสนเย็นชาดังขึ้นมาทางด้านหน้า จิรัศยาเงยหน้าขึ้นไปมองเขา
ผู้ชายอะไรผอมสูงอย่างกับเสาธงแถมตายังตี่ เวลาโกรธจัดแทบจะมองไม่เห็นตาดำ ตลกชะมัด เอ๊ะ เดี๋ยว เขาพูดว่าอะไรนะ