“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมโรงแรมส่งอาหารเช้ามาให้พวกเรา จิไปทำอะไรไว้เหรอ”
“เราไม่ได้ทำ แต่มีคนทำ…”
จิรัศยาก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเอง คราวนี้ทุกคนจึงได้เห็นพร้อมกันว่าหญิงสาวอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อุบัติเหตุที่เธอถูกชนจนถึงเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าจะส่งอาหารเช้ามาชดเชยให้
“หูย…ลาภปากพวกเรา”
ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารหลุดปากออกมาแล้วก็ต้องหน้าเจื่อน เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าอาหารเช้าแสนวิเศษมื้อนี้นั้นต้องแลกมาด้วยความสกปรกที่เกิดกับประชาสัมพันธ์ของบริษัท
“เอ่อ พี่ขอโทษนะจิ ตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ เพราะปกติก็ไม่เคยจะได้กินของหรูหราจากโรงแรมห้าดาวแบบนี้”
จิรัศยาพยายามยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เดือน มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ มา…เรามาทานกันให้หมดนี่กันเถอะ”
เมื่อหญิงสาวผู้เป็นต้นเรื่องพูดเปิดโอกาส ทุกคนจึงรีบขยับเข้ามาใกล้รถเข็นอาหารเช้าด้วยความตื่นเต้น กวิตาดึงข้อมือของจิรัศยาเข้ามาใกล้ตนแล้วกระซิบที่ข้างหู
“รีบเอาอาหารไปทานที่โต๊ะของเราเถอะ…มีเรื่องจะถามเยอะเลย”
“ได้”
สองสาวแยกตัวออกมาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ซึ่งตอนนี้ต่างก็กำลังมีความสุขกับการรับประทานอาหารเช้าจากโรงแรมระดับห้าดาว คนที่ไม่ได้ฝากจิรัศยาซื้ออาหารเช้าก็พลอยเข้ามาร่วมวงด้วย เพราะอาหารที่ถูกนำมานั้นมีปริมาณมากกว่าที่คนแปดคนจะรับประทานหมดในมื้อเดียว
กวิตากัดครัวซองต์คำแรกแล้วทำท่าดังได้ขึ้นสวรรค์
“บุญปาก บุญกระเพาะแท้ๆ อุ๊ย โทษทีนะจิ เราลืมไปว่าจิต้องลำบากเพราะเรื่องนี้”
“ช่างเถอะ มันเกิดขึ้นแล้วนี่ ทำยังไงได้นอกจากยอมรับมัน”
จิรัศยาหยิบบลูเบอรี่มัฟฟินขึ้นมากัดคำหนึ่งแล้วก็อดทำท่าคล้ายกับกวิตาไม่ได้ และดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเธอยังคงมีเรื่องสงสัยอยู่
“เขาเป็นใคร”
“ใคร?”
“คนที่ทำจิเป็นอย่างนี้ไง”
“ไม่รู้สิ” หญิงสาวกัดขนมอีกคำ
“หล่อมั้ย”
เมื่อถึงคำถามนี้จิรัศยาก็ตาลุกวาว “อย่าเรียกว่าหล่อ ต้องบอกว่าราวเทพบุตร เราไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยนะ โดยเฉพาะบนชั้นนี้”
“นั่นสิ ถ้าลงชั้นเดียวกับเราก็แสดงว่าเขาก็ต้องทำงานอยู่บนชั้นนี้ด้วย…บริษัทไหนสักแห่ง”
“ใช่”
จิรัศยาจำได้เลือนรางว่านายเสาธงพูดถึงชื่อบริษัทของเขา แต่เธอก็ไม่มั่นใจ จึงไม่ได้บอกกวิตา
“น่าสืบนะ”
จิรัศยาแกล้งหันไปสบตากวิตาด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนถอนหายใจหนัก “อย่าเลย ท่าทางนายคนนั้นคงไม่ให้เราได้เจอเขาอีกหรอก”
“ใครคือนายคนนั้น”
“คนที่ให้นามบัตรเราไง”
จิรัศยาควักนามบัตรสองใบออกมาจากกระเป๋ากระโปรงแล้ววางบนโต๊ะทำงานของกวิตา เจ้าของโต๊ะกวาดสายตาอ่านเร็วๆ แล้วเลือกหยิบนามบัตรของร้านเสื้อผ้าขึ้นมาอ่าน
“นี่คืออะไร”
“ร้านเสื้อผ้าบนชั้นสามไง นายคนนั้นบอกให้เราไปเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นั่น มันเป็นการชดใช้ค่าเสียหายหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นน่ะ”
“โห จิโชคดีจัง ทำไมไม่เป็นเรา เรายอมสกปรกมากกว่านี้อีกสิบเท่าถ้าเขาจะชดเชยด้วยเสื้อผ้าจากร้านคริสตัล”
“จะบ้าเหรอตา…พูดจริงๆ นะ เราไม่กล้าไปเอาชุดใหม่ที่ร้านนั้นหรอก”
“ทำไมล่ะ” กวิตาขมวดคิ้วยุ่ง
“มันมากเกินไปน่ะ ตาก็รู้ว่าเสื้อผ้าร้านนั้นแพงจะตาย เทียบกับของเรานะคงซื้อชุดทำงานเราได้สักห้าหกตัว”
“แต่มันเป็นสิทธิ์ของเรานะ เขาทำเราเป็นอย่างนี้ เขาชดใช้ให้ก็ถูกต้องแล้ว”
“อันที่จริงจะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะทีเดียวหรอก” จิรัศยาพยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ “เหมือนจะมีคนชนเรา พอเราจะล้มหน้าคว่ำเขาก็ฉวยข้อมือเราไว้ทันเวลาพอดี จริงๆ ต้องเรียกว่าเขาช่วยเราไว้ต่างหาก”
“โห งั้นก็เป็นบุพเพสันนิวาส”
จิรัศยายิ้มขำแต่ก็แอบเชื่อนิดๆ “ไม่หรอก อุบัติเหตุน่ะ”
“แต่เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะ ชดใช้ค่าเสียหายให้จิด้วย”
“อื้ม”
หญิงสาวรับคำแล้วรับประทานอาหารของตนเงียบๆ ในใจคิดทบทวนคำพูดของกวิตาไปด้วย นี่เธอต้องขอบคุณใครกันแน่ ระหว่างผู้ชายคนที่ช่วยเธอหรือคนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้แทนเขา ใครกันที่เป็นผู้ชายที่ดีมากคนนั้น…
โปรดติดตามตอนต่อไป