บทที่ 2
บริษัท เฟรชคูล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อห้าปีก่อน แล้วหลังจากนั้นผลการดำเนินงานก็เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด มูลค่าหุ้นรวมของบริษัทสูงถึงพันล้านบาท แม้ประธานกรรมการบริหารของบริษัทจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการน้ำดื่มของประเทศมานานกว่านั้น แต่คนที่นำบริษัทเข้าตลาดเพื่อระดมทุนขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นเป็นคนรุ่นลูก
กมลพัชรนั่งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทนับตั้งแต่สามีของนางได้จากไป เขาทิ้งสมบัติ บุตรชาย บุตรสาว และภาระทุกอย่างในชีวิตไว้ให้เธอจัดการดูแล คงไม่ต้องบอกว่าเธอต้องใช้พลังงานมากเท่าไรเพื่อที่จะรักษาทุกอย่างไว้ อย่างน้อยที่สุดมันต้องเหมือนเดิม เหมือนตอนที่อุกฤษฏ์ยังมีชีวิตอยู่ แต่ความจริงแล้วกมลพัชรทำได้ดีมากกว่านั้น เพราะบริษัทเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่กัณฑ์อเนกจะมารับช่วงต่อ ขณะนี้จึงเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น
เมื่อสิบนาทีที่แล้วคนขับรถประจำตัวของกมลพัชรโทรศัพท์เข้ามาแจ้งบุศรินทร์ เลขานุการของเธอแล้วว่ากำลังจะมาถึง หลังจากนั้นทุกคนในสำนักงานก็ตื่นตัวทันที คนที่มีหน้าที่ทำงานประจำก็นั่งประจำที่ของตน ส่วนคนที่ต้องเข้าร่วมประชุมต่างก็เข้าไปรอในห้องประชุมอย่างเป็นระเบียบ เลขานุการผู้บริหารระดับสูงส่งวาระการประชุมพร้อมรายงานการดำเนินงานให้กรรมการทุกคนได้อ่านก่อน ส่วนกัณฑ์อเนกนั้นเพิ่งเดินเข้ามาสมทบทุกคนในห้องภายหลัง
“สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีครีมเดินเข้ามาพร้อมกับคำทักทาย เมื่อคณะกรรมการทั้งเจ็ดท่านเงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงหยุดแล้วยกมือไหว้ เสียงทักทายและตอบรับดังขึ้นหลังจากนั้น กัณฑ์อเนกยิ้มกว้างแล้วนั่งลงประจำที่ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของประธาน พารณซึ่งเดินตามมาติดๆ นำเอกสารในส่วนของเจ้านายตนวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าแล้วถอยไปยืนทางด้านหลัง กัณฑ์อเนกไม่ได้สนใจเอกสารพวกนั้นแต่เขากลับกวาดสายตามองทุกคนบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ
“ผมดีใจนะครับที่เห็นทุกคนสบายดี”
มีบรรยากาศของความตึงเครียดเกิดขึ้นอย่างชัดเจน คณะกรรมการทุกคนแม้จะมีอายุน้อยกว่ากมลพัชร แต่ก็อาวุโสมากกว่ากัณฑ์อเนกมาก จำนวนเกินครึ่งที่นั่งอยู่นี้เคยทำงานร่วมกันกับพ่อของเขา และทุกคนเคยเห็นเขาเข้ามาทำงานวันแรกในฐานะรองประธานกรรมการบริษัท
ยังไม่ทันที่ใครจะต่อบทสนทนากับกัณฑ์อเนก เลขานุการก็เข้ามาแจ้งกับทุกคนว่าท่านประธานกำลังจะมาถึง สมาชิกทุกคนในห้องจึงยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่กี่อึดใจหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอดูภูมิฐานในชุดกระโปรงและสูทสีเขียวไข่กา พร้อมกับกระเป๋าถือสีเดียวกัน รูปร่างของกมลพัชรนั้นดูดีกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน แสดงว่าดูแลตัวเองได้ค่อนข้างดี ผมหยักศกยาวแค่บ่าถูกโกรกเป็นสีน้ำตาลเข้ม เครื่องหน้าเล็กและดูดุกว่าลูกชายมาก เมื่อทุกคนยกมือไหว้เธอก็หยุดยืนแล้วไหว้ตอบ
“สวัสดีค่ะ เชิญนั่งค่ะ”
บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คณะกรรมการคนอื่นดูจะสบายใจและผ่อนคลายกว่าเมื่อกมลพัชรปรากฏตัวขึ้นในห้องประชุม แตกต่างจากช่วงห้านาทีก่อน เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วกมลพัชรก็กล่าวต้อนรับและเปิดประชุมอย่างเป็นกันเองทันที
“ขอบคุณที่สละเวลามาทุกไตรมาส วันนี้จะพยายามให้การประชุมเสร็จเร็วกว่าครั้งก่อนนะ จำได้ว่าล่าช้าเกือบจะเที่ยงวัน”
คนที่นั่งหัวโต๊ะมีจมูกเล็กเป็นสันคม ช่วงปลายงองุ้มเล็กน้อย มันกำลังรองรับแว่นสายตาที่เพิ่งถูกสวม กมลพัชรไม่ได้ทักทายบุตรชายของตนเป็นการส่วนตัวแต่หันไปสนใจเอกสารตรงหน้าแทน
“ใครมีอะไรอยากจะพูดก่อนที่เราจะเริ่มการประชุมกันมั้ยคะ”
มีชายสูงวัยคนหนึ่งยกมือก่อนที่กมลพัชรจะอนุญาตให้เขาพูด
“ผมอ่านวาระการประชุมแล้วคิดว่าควรจะมีอะไรเพิ่มเติมสักหน่อย”
“อะไรคะ”