การประชุมสิ้นสุดลงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาพอดี ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พฤกษ์ได้เกริ่นไว้ อาจเป็นเพราะวาระการประชุมค่อนข้างอัดแน่น หรือไม่ก็เป็นเพราะกมลพัชรไม่เปิดโอกาสให้ใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เมื่อคณะกรรมการต่างทยอยลุกจากเก้าอี้ไปแล้วก็เหลือเพียงแม่กับบุตรชายพร้อมกับเลขานุการส่วนตัวของทั้งคู่เท่านั้น กัณฑ์อเนกทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้ดั่งคนหมดเรี่ยวแรง
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยไม่ให้ลุงพฤกษ์โจมตีผมไปมากกว่านี้”
เขากล่าวกับมารดาอย่างมีพิธีรีตอง แต่กมลพัชรไม่ได้สนใจ นางกลับหันมาจ้องมองเสื้อผ้าของลูกชายแทน
“เมื่อเช้าไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่”
กัณฑ์อเนกขมวดคิ้ว “คุณแม่รู้ได้ยังไง เมื่อเช้าเราไม่ได้เจอกันสักหน่อย”
“ฉันเป็นใคร”
คนถามเสียงแข็งขึ้นนิดหนึ่งแต่แววตาไม่ได้ดุ กัณฑ์อเนกหัวเราะหึ
“จริง คุณหญิงกมลพัชรสามารถรู้ได้ทุกเรื่องหากเธอต้องการ”
“ไม่เอาน่า เลิกเรียกคุณหญิงเถอะ ไม่ชินแล้วก็ไม่ชอบด้วย”
ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ มารดาของเขาทำงานเพื่อสังคมควบคู่กับการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่มาหลายปี มีหลายโครงการที่เฟรชคูลทำเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน คนเป็นมะเร็ง เด็กที่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียน และคนยากจน ดังนั้นตำแหน่งคุณหญิงที่ได้รับมานั้นจึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่ากมลพัชรเป็นบุคคลที่เสียสละเพื่อสังคมมากเพียงใด
“อย่าเฉไฉ ตอบแม่มาก่อน ชุดเมื่อเช้าไปไหน ทำไมถอด แม่ชอบชุดนั้นนะ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ เราไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมมั้ย เผื่อมีใครจะใช้ห้องประชุม”
“ไม่ดีกว่า ตอนบ่ายแม่มีธุระ ภารกิจคุณหญิงคุณนายที่กัณฑ์ชอบเรียกน่ะ”
“อ้อ ครับ แต่มีเวลาทานข้าวด้วยกันก่อนใช่ไหมฮะ”
กมลพัชรส่ายหน้า “เดี๋ยวจะออกไปเลย เราน่ะก็ควรกลับไปนอนบ้านบ้างนะ”
“ครับ ถ้าว่าง…”
“แล้วมีเรื่องยุ่งอะไรนักหนาถึงกลับบ้านไม่ได้ ตอนนี้นักข่าวสังคมรู้เรื่องของเรามากกว่าแม่แล้วล่ะมัง”
กัณฑ์อเนกถอนหายใจหนัก “บ้านหลังใหญ่เกินไป เหงา”
กมลพัชรค้อนให้ “คนเดินกันยั้วเยี้ยเต็มบ้านบอกว่าเหงา”
“นั่นมันคนทำงานบ้านกับผู้ช่วยของคุณแม่นี่ครับ”
“งั้นก็รอน้องสาวแกกลับมา”
“กิ่งจะกลับบ้านเหรอครับ”
“เห็นว่าอย่างนั้นนะ”
กัณฑ์อเนกมีน้องสาวคนหนึ่งชื่อกิรติกา เธอเป็นสาวที่เปรี้ยวจี๊ด เติบโตที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมากกว่าในเมืองไทยไปเสียแล้ว จู่ๆ กมลพัชรก็ลุกขึ้น ทำให้เลขาฯ ของเธอและพารณพลอยยืนไปด้วย มีกัณฑ์อเนกคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่
“ถ้ากิ่งมาถึงเมื่อไรคุณแม่ก็บอกรณมาแล้วกันนะครับ เผื่อทานข้าวด้วยกัน”
“ได้ แม่ไปล่ะ”
กัณฑ์อเนกลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้าย “ครับ”
กมลพัชรพยักหน้าให้ลูกชายน้อยๆ จากนั้นก็หมุนตัวออกจากโต๊ะห้องประชุมไป กัณฑ์อเนกเฝ้ามองตามหลังของมารดาซึ่งมักมีคนติดตามอยู่เสมอนั้นไป ไม่เว้นแม้แต่เลขานุการส่วนตัวของเขาเอง พารณก็เดินตามกมลพัชรออกจากห้องประชุมไปด้วย