ก่อนเวลาเข้างานเพียงห้านาทีกวิตาก็เดินเข้ามาในบริษัทด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย จิรัศยาซึ่งนั่งประจำเคาน์เตอร์ของตัวเองแล้วเงยหน้าสบตากับเพื่อนร่วมงานคนที่เธอสนิทมากที่สุดทันที
“เป็นไงบ้างตา ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“เราขอแอบกินขนมปังตรงใต้โต๊ะจิได้ไหม ยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“มาสิ เดี๋ยวเราดูเจ้านายของตาให้ ตอนนี้ยังไม่ขึ้นมาเลย”
กวิตาพยักหน้ารับแล้วเดินอ้อมโต๊ะประชาสัมพันธ์มานั่งด้านหลัง ตรงหน้าตู้เอกสารของจิรัศยามีเก้าอี้เตี้ยๆ ตัวหนึ่งซึ่งหญิงสาวมักใช้เป็นที่วางเท้าเวลานั่งนานๆ ตอนนี้กวิตาได้ฉวยมันไปใช้ประโยชน์แทน เธอนั่งจุมปุ๊กเพื่อที่จะหลบสายตาของพนักงานคนอื่นที่จะเดินเข้าออกบริษัท รวมถึงลูกค้าที่อาจจะเข้ามาติดต่องานตอนนี้ด้วย จากนั้นกวิตาก็ดึงขนมปังไส้กรอกจากถุงพลาสติกที่หิ้วติดมือขึ้นมากินอย่างหิวโหย จิรัศยาก้มลงมองดูเพื่อนด้วยความสงสารปนเห็นใจ
“ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวเที่ยงเลยเหรอ”
“ใช่ ก็ตั้งแต่ออกไปตอนเที่ยงเราก็วุ่นๆ อยู่แต่ในเต็นท์รถนั่นแหละ”
“แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ เล่าตอนนี้ได้มั้ย”
กวิตาพยักหน้า เธอกลืนขนมปังคำโตก่อนตอบ “เขาขึ้นราคาจากที่เคยตกลงกันไว้”
“เอ้า ทำไมเป็นอย่างนั้น…”
“มันมีตัวแปรใหม่เข้ามา คือเฮียเจ้าของเต็นท์เขาบอกว่ามีคนที่ให้ราคามากกว่าเรา แล้วทางนั้นพร้อมจะวางเงินทันทีด้วย”
“อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับเราสิ เราเจอรถคันนั้นก่อน แถมตกลงราคากันไว้แล้วด้วย แค่รอทำสีใหม่เท่านั้นเอง”
“แต่เราก็มีปัญหาของเราเหมือนกัน คือตอนนี้เราหมุนเงินไม่ทันน่ะ”
“อ้าว ตาเคยบอกว่าเงินอยู่ในธนาคารแล้วไม่ใช่เหรอ”
กวิตาทิ้งมือที่กำลังจะส่งขนมปังเข้าปากลงบนตักอย่างคนหมดเรี่ยวแรง จิรัศยาที่ต้องสนใจทั้งเพื่อนและงานไปพร้อมๆ กันนั้นก็ยังสามารถรับรู้ถึงอารมณ์หมดอาลัยตายอยากนั้นได้ กวิตาถอนหายใจยาวก่อนตอบ
“เมื่อสัปดาห์ก่อนแม่เราโทรมาขอเงินไปก้อนหนึ่งเพื่อเอาไปรักษาพ่อที่ไม่สบายอยู่ในโรงพยาบาล เราก็เลยจำเป็นต้องยอมถอนเงินก้อนนั้นออกมาบางส่วน ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าต้องทำเพื่อครอบครัว อีกอย่างก็ไม่คิดว่าทางเต็นท์อยากจะขายรถเร็วอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเราก็คงพอจะหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดไปได้ทัน”
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมากวิตาพูดถึงรถยนต์ส่วนตัวที่เป็นความฝันของเธอให้ฟังเสมอ แม้จะเป็นรถยนต์มือสองแต่มันก็เป็นความภาคภูมิใจที่เธอจะสามารถซื้อมันมาได้ด้วยเงินเก็บของเธอเอง ชีวิตของกวิตาน่าสงสาร เธอเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ต้องอยู่ห่างไกลพ่อแม่ หญิงสาวต้องทำงานหาเงินเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นการมีทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่เป็นของตัวเองสักชิ้นจึงเป็นความฝันของเด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งจิรัศยาเองก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนอย่างลึกซึ้ง
“ยังขาดอีกเท่าไรเหรอ”
กวิตาเหลือบตาขึ้นมามอง สีหน้าของเธอขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด “เก้าหมื่น”
“โห นี่พ่อของตาต้องไม่สบายมากเลยสิ แล้วท่านดีขึ้นรึยัง”
หญิงสาวถามในสิ่งที่กวิตาคาดไม่ถึง แต่เธอก็ไหวตัวทัน “ดะ…ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว นี่ถ้ามีรถนะเราก็คงขับกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อได้”
จิรัศยาฟังแล้วก็นิ่งไปชั่วครู่ และในจังหวะที่เธอกำลังจะขยับปากประตูกระจกหน้าบริษัทก็ถูกผลักเข้ามา เสียงกระพรวนที่แขวนไว้ตรงประตูดังกรุ๊งกริ๊งช่วยเตือนพนักงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทว่าให้เตรียมพร้อมต้อนรับแขกที่มาเยือน หญิงสาวผู้ทำหน้าที่นั้นจึงต้องละความสนใจจากเพื่อนสนิทมาทำหน้าที่ของตนเองก่อน
“สวัสดีค่ะ Perfect Furniture ยินดีต้อนรับ”
เธอพูดประโยคติดปากโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ยังไม่ได้ทันพิเคราะห์ว่าคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นใคร และเมื่อพอจะตั้งสติได้คิ้วเรียวบางก็ขยับเข้าหากันทันที
“ติดต่อเรื่องอะไรคะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งชุดคล้ายพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าเดินถือถุงกระดาษสีขาวขนาดใหญ่มาด้วย เธอคนนั้นวางมันลงบนเคาน์เตอร์ จิรัศยาเพิ่งเห็นว่าบนถุงมีอักษรภาษาอังกฤษอยู่ พนักงานสาวตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม