จิรัศยาหยิบกระจกขึ้นมาเพื่อเติมแป้งและลิปสติกสีอ่อน จากนั้นก็ไขกุญแจเพื่อเปิดลิ้นชักช่องที่ใส่ของสำคัญไว้ ในนั้นมีกระเป๋าส่วนตัวอยู่ หญิงสาวตรวจดูสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ก่อนที่จะปิดกระเป๋า โชคดีที่เธอพกสมุดบัญชีธนาคารมาด้วย อันที่จริงจิรัศยาตั้งใจไว้ว่าวันนี้จะนำมันไปอัพยอด แต่ในตอนนี้เธอกลับต้องไปถอนเงินในบัญชีธนาคารแทน หญิงสาวแอบใจหายนิดๆ แต่ก็คอยปลอบตัวเองว่าอีกไม่นานเงินก้อนนี้ก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมของมัน
“ตอกบัตรได้แล้วจิ”
“จ้า แป๊บนึงๆ”
เสียงเรียกของกวิตาทำให้เธอเร่งมือเร็วขึ้น หญิงสาวถอดสูทพาดไว้กับพนักเก้าอี้แล้วสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า มือข้างขวาคว้าถุงใบใหญ่ขึ้นมาถือไว้ ถุงของคริสตัลทำให้จิรัศยาภูมิใจได้มากอย่างที่เธอเองก็เพิ่งเคยสัมผัสความรู้สึกนี้ และเมื่อจิรัศยาเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ เพื่อนพนักงานคนอื่นที่เห็นเธอถือถุงนั้นต่างก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาเบาๆ โดยเฉพาะพนักงานหญิง
“นั่นอะไรอ่ะจิ”
“ร้านคริสตัลบนชั้นสามน่ะเหรอ”
“จิซื้ออะไรมา ขอดูได้มั้ย”
“ถูกหวยมาเหรอถึงมีเงินไปซื้อของในร้านนั้นได้น่ะ”
“อะไรเนี่ย เมื่อเช้ามีคนส่งรถอาหารเช้าจากโรงแรมหรูมาให้ ตกเย็นได้ของขวัญกล่องโตอีก คนให้คนเดียวกันรึเปล่าจ๊ะ”
ประชาสัมพันธ์หน้าบริษัทตัวเล็กๆ กลายเป็นจุดสนใจของพนักงานทุกคนตรงบริเวณจุดตอกบัตรเพื่อออกจากงาน นั่นทำให้จิรัศยารู้สึกเต็มตื้นอย่างประหลาด เพียงเพราะไม่ค่อยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยนัก เธอไม่ได้เป็นที่สนใจของใครๆ มากมาย หญิงสาวก็แค่มาทำงานของตัวเองเงียบๆ นั่งคนเดียวหลังเคาน์เตอร์หน้าบริษัทนั่นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีโอกาสคุยเล่นกับใครเหมือนพนักงานคนอื่นๆ ที่นั่งรวมกันในโถงของออฟฟิศ ดังนั้นเมื่อเธอกลายเป็นจุดสนใจและได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งนั้นจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับจิรัศยา และมันทำให้หญิงสาวขี้อายมีความสุขขึ้นมาอีกนิด
เธอไม่ได้ตอบ เอาแต่ยิ้มน้อยๆ อย่างเดียว แต่คนที่คุยจ้อแทนกลับเป็นกวิตา
“มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะพี่ ก็คนที่ทำชุดจิเปื้อนนั่นแหละ ทั้งส่งอาหาร ทั้งส่งชุดใหม่มาให้ พี่คิดดูว่าเขาจะรวยมากขนาดไหน เขาเป็นถึง…อุ๊ย!”
จิรัศยาหยิกหมับไปที่แขนของเพื่อน เพราะไม่อยากให้เธอคุยโวไปมากกว่านี้ ที่สำคัญเธอไม่อยากให้คนอื่นจับจ้องไปที่กัณฑ์อเนก หญิงสาวรู้สึกว่าเขาสูงส่งเกินไปสำหรับเธอ
“ไปเถอะตา เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ ใช่ๆ งั้นไปนะคะทุกคน”
กวิตายกมือขึ้นโบกกลางอากาศราวกับนางงาม จากนั้นก็เดินควงแขนจิรัศยาออกจากออฟฟิศไป
“ทำไมไม่ให้เราพูดล่ะ”
“ก็ตาพูดเกินจริง”
“เกินจริงตรงไหน เราพูดความจริงทั้งนั้น”
จิรัศยาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แต่แก้มเริ่มแดงระเรื่อ เธอรีบเปลี่ยนเรื่องพูดในขณะที่ยังยืนรอลิฟต์อยู่
“จะไปธนาคารก่อนหรือกินข้าวก่อน”
กวิตายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ธนาคารในห้างปิดทุ่มนึงใช่มั้ย งั้นไปธนาคารก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว เผื่อคนเยอะ” เธอพูดแล้วทำออดอ้อน “ขอบใจจิมากเลยนะ โบนัสออกเมื่อไรเราคืนทันทีเลย คืนเร็วด้วยเพราะเรามีบัญชีอีแบงกิ้ง ว่าแต่จิเถอะทำไมไม่ทำเป็นบัญชีที่โอนผ่านอินเตอร์เน็ตได้นะ สะดวกสบายจะตายไป ไม่ต้องไปรอคิวอย่างนี้”
จิรัศยาหัวเราะเบาๆ “ก็เราไม่อยากให้การถอนเงินมันสะดวกสบายเกินไปไง ให้มันลำบากหน่อยจะได้ไม่ต้องเบิกบ่อย”
“เออ มันก็จริงนะ” กวิตายอมรับด้วยสีหน้าสำนึกผิดนิดๆ “ลิฟต์มาแล้ว”
พนักงานจากหลายออฟฟิศบนชั้น 15 ที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน แต่ก็มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เข้าไปได้ ทิ้งให้คนอีกกลุ่มหนึ่งต้องรอลิฟต์ตัวต่อไป