บทที่สาม
เหยาเหนียงหนีออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างเร่งร้อน นางจงใจมุ่งหน้าเดินเข้าไปในบริเวณที่มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าการปะปนเข้าไปอยู่ในฝูงชนถึงจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด จะติดก็แต่แหปากนี้ที่ติดหนึบไม่ยอมปล่อย ขยับเคลื่อนไหวได้เหมือนกับเชือกเส้นนั้นไม่มีผิด
แต่ว่านางไม่กลัวหรอก เพราะแหปากนี้ไม่มีพลังทำลายล้างอันใดแม้แต่น้อย ถูกนางจับมัดเป็นเงื่อนได้อย่างง่ายดาย
หลังจากบุรุษผู้นั้นเปิดเผยฐานะนักพรตของตนเองออกมา นางก็ไม่กลัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนักพรตผู้นั้นก็มิได้เก่งกาจสักเท่าไร แม้แต่อาวุธเวทจับปีศาจของเขาก็ยังอ่อนแอปวกเปียกยิ่งนัก
พอพูดถึงปีศาจในใจของเหยาเหนียงก็พลันจมดิ่ง ภาพเหตุการณ์ตอนที่ฟื้นตื่นขึ้นมาท่ามกลางกองโลหิตปรากฏขึ้นในหัวสมองอีกครา นางรู้ว่าร่างกายของตนเองมีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับไม่กล้าขบคิดให้ลึกซึ้ง การปรากฏตัวของนักพรตทำให้นางจำต้องหันมาเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดกับร่างกายของตนเองตรงๆ
นางจดจำความเจ็บปวดยามคมดาบแทงทิ่มเข้าสู่ร่างกายในราตรีนั้นได้ และจำได้ด้วยว่าทั้งสรรพางค์กายชุ่มโชกไปด้วยโลหิต แต่พอนางฟื้นขึ้นมาทรวงอกกลับไม่มีแม้แต่รอยดาบด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อนางมองดูฝ่ามือของตนเองก็พบว่ามือที่หยาบกร้านเพราะทำงานหนักมาเนิ่นนานบัดนี้กลับทั้งนวลเนียนทั้งนุ่มนิ่ม ไม่มีแม้แต่รอยแข็งกร้าน กระทั่งรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่เผลอถูกมีดบาดตอนหั่นผักก็ยังเลือนหายไปด้วยเช่นกัน
นางจ้องมองนิ้วมือทั้งสิบของตนเองอย่างอึ้งงัน ทั้งเรียวรีและเนียนละมุน ราวกับเป็นมือของสตรีในห้องหอที่ไม่เคยต้องหยิบจับงานบ้านมาก่อน
นางหุบนิ้วมือทั้งสิบกำเป็นหมัด คล้ายกับว่าหากทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ทำให้นางไม่ไปครุ่นคิดและสืบเสาะหาความจริง
นางส่ายศีรษะ ไม่ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือรีบสลัดให้หลุดพ้นจากการเกาะติดของบุรุษผู้นั้น ยามนี้นางไม่กล้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว ห่อสัมภาระที่อยู่ในห้องก็จำใจต้องสละทิ้งไป วันนี้ยังไม่เหมาะที่จะออกเดินทาง ทางที่ดีควรจะหาที่หลบซ่อนเอาไว้ก่อน รอผ่านไปสักหลายวันค่อยซื้อเสื้อผ้ามาใหม่สักสองสามตัว ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
หลังจากลัดเลาะตรอกซอกซอยวิ่งมาเป็นระยะทางไม่น้อย นางก็เหนื่อยจนหอบแฮกๆ เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง จึงหยุดพักที่แผงร้านน้ำชาในละแวกใกล้เคียง นั่งดื่มชาเย็นๆ สักหนึ่งอึก
เงาคนวูบไหวผ่านไปเบื้องหน้า มีคนนั่งลงตรงข้ามกับนาง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองนางก็ตื่นตระหนกจนตัวสั่นเทิ้ม เกือบจะทำน้ำชาในมือกระฉอกออกมา
หลังจากจิ้นเสวียนนั่งลงแล้ว เขาก็ทำเป็นเมินเฉยต่อท่าทางตื่นตกใจของนางพลางยกกาน้ำชาของนางขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ แหงนหน้ากรอกน้ำชาเข้าปากอึกๆ แม้แต่ถ้วยชาก็ไม่ใช้
น้ำชาเย็นสดชื่นไหลลงสู่ลำคอ เขาผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกสบายแล้ววางกาน้ำชาลง
“วิ่งจนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง เวลาเช่นนี้น้ำชาเย็นๆ ช่วยดับกระหายได้ดีที่สุดแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่” มุมปากของเขายกขึ้นอย่างชั่วร้าย มองดูท่าทางผวาหวาดหวั่นของนางยิ้มๆ
เขามีท่าทางสบายๆ ไม่รีบไม่ร้อน เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบกริบไร้รอยยับย่น เหงื่อกาฬไม่ไหลริน เมื่อเทียบกันแล้วมีแต่จะทำให้นางดูเหมือนคนโง่เขลา นางหลงคิดว่าตนเองหนีมาได้ไกลลิบ ทว่าจริงๆ แล้วตั้งแต่ต้นจนจบนางล้วนอยู่ในเงื้อมมือของเขามาตลอด
ยามนี้ต่อให้เหยาเหนียงโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจเรื่องหนึ่งว่า…นางไม่มีทางสลัดหลุดจากบุรุษผู้นี้ได้
ในสายตาของเขาการหลบหนีของนางกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันและโง่เง่า เกรงว่าเขาคงจะแอบหัวเราะเยาะนางอยู่ข้างหลังกระมัง
น้ำชาเย็นๆ หนึ่งกาดื่มคนเดียวกำลังพอดี ทว่าสองคนดื่มกลับน้อยเกินไป ดื่มไปแค่ไม่กี่อึกก็เห็นก้นกาเสียแล้ว
จิ้นเสวียนกวักมือเรียกเถ้าแก่ให้เข้ามาหา “เอาน้ำชาเย็นๆ มาอีกกาหนึ่ง”
เถ้าแก่ขานรับ จากนั้นก็ยกน้ำชาอีกกาเข้ามาส่งอย่างขยันขันแข็ง พร้อมกับถือโอกาสแนะนำอาหารของร้านตนเองไปในตัว
“ท่านลูกค้า ต้องการสั่งกับแกล้มสักสองสามจานหรือไม่ กินกับน้ำชาเย็นๆ เนี่ยเหมาะที่สุดแล้วขอรับ”
จิ้นเสวียนได้ยินแล้วก็หันหน้าไปถามเหยาเหนียง “ว่าอย่างไร สั่งสักสองสามจานหรือไม่”
เหยาเหนียงนิ่งเงียบแต่ทว่าจ้องมองเขาอย่างหวาดระแวง
“ไม่มีความเห็นหรือ เช่นนั้นก็เอามาสักสองสามจานเถิด” เขากวักมือบอกเถ้าแก่ให้ยกอาหารมาส่ง