นางวิ่งตะบึงไปหาเจ้าหน้าที่ทางการอย่างสุดแรงเกิด พอนางพลันตะโกนก้องไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการสองคนนั้นสะดุ้งตกใจเท่านั้น แต่ยังดึงดูดความสนใจของชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลังรีบหลบไปอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่ทางการอย่างร้อนรนนางก็ชี้ไปยังบุรุษผู้นั้น “ใต้เท้าช่วยด้วยเจ้าค่ะ เขาจะสังหารข้า!”
พอเหยาเหนียงชี้นิ้วปุ๊บ สายตาของทุกคนก็หันมอง ‘ฟึ่บๆๆ’ ไปยังบุรุษที่นางชี้เช่นกัน
จิ้นเสวียนหาได้แตกตื่นลนลานแต่อย่างใด ทว่ากลับเลิกคิ้วอย่างนึกสนุก เขามิได้รู้สึกหงุดหงิดโมโหเพราะถูกนางกล่าวหา แต่กลับมีท่าทีเปิดเผยเยือกเย็นเสียด้วยซ้ำไป
ชายหนุ่มยังคงก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่เนิบช้า ชายอาภรณ์ปลิวสะบัด บุคลิกงามสง่าสะกดสายตา แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนลงบนร่างของเขา ในแต่ละก้าวที่เขาก้าวเดินราวกับเหินลมเหยียบจันทราลงมา สายตาลุ่มลึก มุมปากประดับรอยยิ้ม บนร่างประหนึ่งเคลือบด้วยแสงเจิดจรัสแห่งความเป็นเซียน ราวกับเป็นเทพเซียนจุติลงมาบนโลกมนุษย์ก็มิปาน
เหยาเหนียงจ้องมองเขาเขม็ง กลับเห็นว่าเขายังคงเยือกเย็นเรียบเฉย ไม่ร้อนรน ไม่ฉุนเฉียว รอยยิ้มตรงมุมปากนั้นทำให้นางพลันรู้สึกกระวนกระวายใจ และไม่นานนักความกระวนกระวายใจของนางก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น
ครั้นเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองเห็นผู้มาใหม่ก็รีบเดินเข้าไปประสานมือคารวะทันที ท่าทีพินอบพิเทายิ่ง “ที่แท้ก็ปรมาจารย์จิ้นเสวียนนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ”
จิ้นเสวียนอมยิ้มพลางคารวะกลับ สุ้มเสียงใสกระจ่างเสนาะหู “มิกล้า ใต้เท้าทั้งสองมากพิธีไปแล้ว”
เหยาเหนียงหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน นางนึกว่าหาภูเขาที่พึ่งพิงได้แล้ว แต่ภูเขาสองลูกนี้กลับค้อมเอวคารวะให้คนผู้นั้นเสียได้ ดูท่าทางกระตือรือร้นนั่นสิ พวกเขาสนิทสนมคุ้นเคยกันชัดๆ!
“ท่านปรมาจารย์พบปัญหายุ่งยากอันใด ต้องการให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ” ยามเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองเอ่ยถ้อยคำนี้ ดวงตาคู่นั้นกลับเมียงมองมาทางนาง ทำให้หัวใจทั้งดวงของนางจมดิ่งสู่ก้นหุบเหว
จิ้นเสวียนเผยสีหน้าอับจนปัญญา “ข้านักพรตมีเรื่องต้องการถามแม่นางผู้นี้ กำลังพูดโน้มน้าวนางอยู่ แต่น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าใดนัก”
เจ้าหน้าที่ทางการเข้าใจแจ่มแจ้งในทันใด จึงรีบตีสีหน้าขึงขังใส่เหยาเหนียงทันที “ท่านอาจารย์มีเรื่องจะถามเจ้า เจ้าก็ตอบไปสิ จะหนีอันใดของเจ้า”
เหยาเหนียงร้อนใจขึ้นมา “ใต้เท้า เขาจะสังหารข้า!”
“เหิมเกริม! ท่านอาจารย์มีฐานะสูงส่งขนาดนั้น สตรีโง่เขลาอย่างเจ้าไหนเลยจะใส่ร้ายป้ายสีท่านได้!”
“จริงๆ นะเจ้าคะ เขาบุกเข้าห้องของข้าโดยพลการ คิดจะทำมิดีมิร้ายข้า!”
“พูดจาเหลวไหล ท่านอาจารย์เป็นสุภาพบุรุษวิญญูชน ไหนเลยจะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ เจ้าคงมีเจตนาไม่ดี คิดจะให้ร้ายท่านอาจารย์มากกว่าน่ะสิ”
ไม่เพียงแต่ถูกเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองคนตำหนิต่อว่า แม้กระทั่งชาวบ้านที่ยืนมุงดูเรื่องสนุกๆ อยู่โดยรอบก็ชี้มือชี้ไม้ใส่นางเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนพูดว่านางไม่รู้จักสำรวมตน ไม่ปฏิบัติตามคุณธรรมสตรี ยั่วยวนบุรุษไม่สำเร็จ จึงอับอายจนพาลโกรธก็เลยแว้งกัดผู้อื่นแทน
สีหน้าของเหยาเหนียงประเดี๋ยวคล้ำเขียวประเดี๋ยวขาวซีด คำประณามของคนรอบด้านเสมือนคมดาบอันไร้ความเมตตากำลังลงโทษประหัตประหารนาง ไม่มีผู้ใดเชื่อนาง ซ้ำร้ายยังสงสัยเคลือบแคลงในศีลธรรมจรรยาของนาง ทำให้นางอับจนถ้อยคำจะเอ่ยแก้ต่าง รู้สึกเพียงหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ
“ท่านปรมาจารย์ สตรีผู้นี้ใส่ร้ายป้ายสีท่าน พวกเราช่วยท่านจับตัวนางส่งเข้าคุกดีหรือไม่” เจ้าหน้าที่ทางการเอ่ย
พอเหยาเหนียงได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ยิ่งซีดเผือดมากกว่าเดิม ในใจบังเกิดความหวาดผวา ถ้าหากนางต้องเข้าคุกจริงๆ ล่ะก็ ตอนนี้นางโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือนางได้ ชีวิตนี้ของนางคงจบสิ้นแล้ว