บทที่สี่
เหยาเหนียงใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ กว่าจะยอมรับความจริงเรื่องที่ตนเองเป็นปีศาจได้ในที่สุด
นางมองก้นตนเองพลางน้ำตาไหลพราก หางปุกปุยเส้นนั้นงอกอยู่บนก้นจริงๆ มันยักย้ายส่ายไปมาได้ แล้วยังมีความรู้สึกอีกด้วย ยามลูบคลำมันก็จะไวต่อสัมผัสเหมือนยามลูบก้นอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตผู้นั้นถึงบอกว่านางเป็นปีศาจ ที่แท้นางได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ พอครุ่นคิดถึงตรงนี้นางก็หลั่งน้ำตาให้กับหางของตนเองอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮึ! ร้องไห้อันใดของเจ้า! หางจิ้งจอกไม่ดีตรงไหนกัน เจ้ากล้ารังเกียจหางของข้าอย่างนั้นหรือ”
เหยาเหนียงตะลึงงัน ตื่นตกใจพลางมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก “ใครกัน”
“ข้างล่าง!”
เหยาเหนียงมองลงไปเบื้องล่าง ลูกจิ้งจอกตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างเท้านาง ดวงตาใสแป๋วคู่นั้นกำลังจ้องมองนางเขม็ง
เหยาเหนียงตกใจจนค้างแข็งไป
จิ้งจอกพูดได้ด้วยหรือ
อาเจียวกระโดดขึ้นมาบนตักของเหยาเหนียง จากนั้นใช้อุ้งเท้าจิ้งจอกจิ้มความกลมกลึงอวบอิ่มและนุ่มหยุ่นของนางอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเชียวนะ ทั่วทั้งร่างของข้าสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดก็คือหาง คนอื่นอยากจะได้แต่ก็ไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ! พอมีหางนี้แล้ว เจ้าถึงสามารถต่ออายุขัยได้ ถ้าไม่มีหางเส้นนี้ ป่านนี้วิญญาณของเจ้าคงถูกพาไปยังปรโลกตั้งนานแล้ว ยังกล้าจะรังเกียจรังงอนอีก”
อาเจียวต่อว่าต่อขานด้วยท่าทีเดือดปุดๆ มันมีชีวิตอยู่มากว่าพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนไม่รู้จักของดี กล้ารังเกียจหางจิ้งจอกของมัน!
เหยาเหนียงยังคงมองลูกจิ้งจอกอย่างสับสนงุนงง “เจ้าคืออาเจียวหรือ”
“แล้วจะใครเล่า ข้าเอง! พวกเราเผ่าจิ้งจอกแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน มีแค้นต้องชำระ มีบุญคุณต้องตอบแทน เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าถึงได้แบ่งหางเส้นหนึ่งให้กับเจ้า หางเก้าเส้นหมายถึงเก้าชีวิต เผ่าพันธุ์ปีศาจตั้งมากมายอยากจะมีหางเช่นนี้ เจ้ามันมีของดีแล้วไม่รู้จักคุณค่า!”
ถ้าอาเจียวไม่เปิดปากพูดก็แล้วไป แต่พอเปิดปากปุ๊บก็พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น
เหยาเหนียงถูกดุยกใหญ่แต่ก็ไม่โมโห เพียงมองอาเจียวที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดอย่างอัศจรรย์ใจเท่านั้น
“หางนี้ของข้าสารพัดประโยชน์ยิ่ง อากาศร้อนใช้โบกพัด อากาศเย็นช่วยให้ความอบอุ่น คันหลังก็ใช้เกาหลัง ตอนต่อสู้ยังสามารถใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย แค่โจมตีกลับดอกเดียวก็ทำเอาศัตรู…บ้าเอ๊ย! เจ้าบีบข้าทำไมกัน”
อาเจียวไม่พอใจถึงขีดสุด มันกำลังอวดอ้างสรรพคุณของหางตนเองอย่างจริงจัง แต่มือของสตรีผู้นี้กลับไม่อยู่สุข ไม่จิ้มท้องมันก็บีบก้นมัน นี่คิดจะเอาคืนกันหรือ
เหยาเหนียงยิ้มให้เป็นการขอโทษขอโพย “ขออภัยด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจิ้งจอกพูด ข้าก็เลยอยากรู้อยากเห็นจนห้ามใจไม่อยู่ อยากจะบีบดูว่าเป็นของจริงหรือไม่…”
“ข้าก็เป็นของจริงน่ะสิ! เพื่อช่วยชีวิตเจ้า ข้าตัดหางตัวเองไปหนึ่งเส้น พลังชีวิตเสียหายใหญ่หลวง นอนหลับไปหนึ่งตื่น พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์หางของข้า แบบนี้มันถูกต้องแล้วรึ”
เหยาเหนียงรีบร้อนขอโทษ “เป็นความผิดของข้าเอง ขอบคุณผู้มีพระคุณ…จิ้งจอกผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เหยาเหนียงซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง”
“ต้องอย่างนี้สิ รู้จักสำนึกบุญคุณก็ดีแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากให้เจ้าพูดขอบคุณหรอก แค่เอาของกินมาตอบแทนก็พอ มีของกินหรือไม่”
บทสนทนานี้แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนเกินไป เหยาเหนียงพลันผงะอึ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ตอนหนีรีบร้อนเกินไป เลยไม่ได้เอาอาหารแห้งมาด้วย…”
“ไม่มีอาหารแห้งก็ไม่เป็นไร ลูกชิ้นปลา หมูสามชั้น ไก่ย่างก็ได้ทั้งนั้น ข้าขอกินแก้ขัดไปก่อน” ยามพูดยังแลบลิ้นเลียแผล็บๆ สายตาเป็นประกายวาวระยับ
เหยาเหนียงยิ้มขื่น “ถ้าอยู่ที่บ้าน แน่นอนว่าย่อมมีหมดทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้ถูกขังเอาไว้ที่นี่ ยามกินอาหารต้องรอคนอื่นนำมาส่งให้”
อาเจียวอึ้งงันไปในบัดดล มันมองซ้ายมองขวา ยามนี้ถึงได้ตระหนักว่าเรือนหลังนี้มิใช่กระท่อมของเหยาเหนียง มันนอนหลับไปหลายวัน วันนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ย่อมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ที่นี่ที่ใดกัน” มันเอ่ยถาม
เหยาเหนียงนิ่งคิดชั่วครู่ “เอ…พวกเขาบอกว่าที่นี่คือสำนักจี้อวิ๋น”
อาเจียวอึ้งนิ่ง ชั่วเวลาถัดมามันก็พุ่งปรี่ออกไปนอกเรือนอย่างรวดเร็วราวกับอสนีบาต ไม่นานนักก็โผทะยานกลับเข้ามาในเรือนใหม่อีกครั้งอย่างเร็วรี่ปานพายุ
“จบเห่แล้วๆ! เป็นสำนักจี้อวิ๋นจริงๆ ด้วย ทุกที่มีแต่นักพรตหน้าเหม็นเต็มไปหมด มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ข้าหนีมาตั้งนาน สุดท้ายกลับมาอยู่ในรังของนักพรตหน้าเหม็นเสียได้ คราวนี้ซวยแล้ว ถ้าถูกนักพรตหน้าเหม็นจิ้นเสวียนนั่นจับได้ล่ะก็ เขาไม่จับข้าถลกหนังก็แปลกแล้ว!”
อาเจียวกระทืบเท้าไปมาอยู่ในเรือนอย่างกระสับกระส่าย ดวงตาของเหยาเหนียงก็กลอกไปมาตามเงาร่างของมันเช่นกัน นางเห็นมันว้าวุ่นร้อนรนใจจนหัวหมุน ปากก็พร่ำบ่นแว้ดๆ ไม่ยอมหยุด นางมองดูอยู่สักพักก็อดหัวเราะคิกออกมามิได้
อาเจียวหยุดชะงักในทันใด ก่อนจะจ้องถลึงใส่นางด้วยสายตาดุร้าย
เหยาเหนียงหุบยิ้ม นางถูกมันจ้องเขม็งจนรู้สึกร้อนตัวอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาเล็กน้อย