ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปีศาจจิ้งจอกอย่ามาลวง บทที่ 4
จู่ๆ อาเจียวก็กระโดดกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของนาง อุ้งเท้าจิ้งจอกจิ้มไปยังความกลมกลึงอันอวบอิ่มและนุ่มหยุ่นของนาง
“หัวเราะ? เวลาเช่นนี้เจ้ายังหัวเราะออกอีกหรือ นักพรตหน้าเหม็นจิ้นเสวียนผู้นี้เก่งกาจจนเป็นที่เลื่องชื่อยิ่ง หากตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว ไม่ตายก็หนังลอกไปครึ่งชั้น เจ้ามาตกอยู่ในกำมือของเขาได้อย่างไรกัน รีบเล่ามาเร็วเข้า!”
เหยาเหนียงจึงอธิบายเรื่องที่ตนเองเจอกับนักพรตจิ้นเสวียนได้อย่างไร แล้วมาถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ได้อย่างไรให้มันฟังทีละเรื่องๆ
หลังจากอาเจียวฟังจบก็มีสีหน้าเคร่งขรึม อุ้งเท้าจิ้งจอกลูบคางเบาๆ ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียว! เจ้าซึ่งเกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยางสามารถคลายยันต์ผนึกและอาวุธเวทของเขาได้แท้ๆ แล้วจะมาตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาได้อย่างไร”
“ข้าเกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยาง?” เหยาเหนียงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง ตอนนั้นข้าถูกยันต์ผนึกของนักพรตหน้าเหม็นผู้นั้นผนึกเอาไว้ สูญสิ้นพลังปีศาจไปกว่าครึ่ง มิอาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่โลหิตของเจ้าช่วยทำลายอาคมของเขาลง ข้าถึงเอาชีวิตรอดมาได้ โมงยามที่เจ้าเกิดมานั้นมีคนถือกำเนิดน้อยยิ่ง บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” พอพูดถึงตรงนี้อาเจียวก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็อดส่ายหน้าพลางทอดถอนใจมิได้ “ยังคิดว่าเจ้ามีฝีมือเก่งกาจเสียอีก ที่แท้ก็ดูดีแต่เปลือก แค่ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกคนเขาแบกกลับมาเสียแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้ริมฝีปากของเหยาเหนียงก็เบ้ลงมา “ข้าเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง จะเอาชนะเขาได้อย่างไร แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการยังต้องไว้หน้าเขาด้วยซ้ำ!”
“ช่างเถิด” อาเจียวปรับท่วงท่านอนลงในอ้อมกอดนาง “รอให้พลังปีศาจของข้าฟื้นคืนกลับมาเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าหนีออกไปเอง”
เหยาเหนียงได้ยินก็ผงะนิ่งไป ครั้นเห็นอาเจียวใช้ศีรษะถูไถกับท้องของนาง นางก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย หัวใจที่เดิมทีว่างเปล่าโหวงเหวงถูกเติมเต็มด้วยสายธารแห่งความอบอุ่น
ถึงแม้อาเจียวจะเป็นปีศาจ แต่กลับมีคุณธรรมน้ำมิตร แม้นมันจะไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับรู้จักการตอบแทนบุญคุณยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก
เหยาเหนียงสายตาอ่อนละมุน ลูบไล้ขนของมันอย่างแผ่วเบา ยามลูบมาถึงหางของมันนางก็เอ่ยถามด้วยความสงสารเวทนาว่า “ตัดหางตนเองหนึ่งเส้น คงจะเจ็บมากกระมัง”
“เจ็บมากสิ ถ้าหากเจ้ามีแก่ใจสงสาร ก็จงหวีขนให้ข้า ทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้ากินเสีย!” อาเจียวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตะกละ
เหยาเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “เหยาเหนียงน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
พอมีอาเจียวอยู่เป็นเพื่อน เหยาเหนียงก็สบายใจขึ้นมาไม่น้อย ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจกับการที่อยู่ๆ ตนเองก็มีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้นขนาดนั้นแล้ว โชคดีที่หางต่อชีวิตเส้นนี้สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้ ขอแค่นางควบคุมมันได้อย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยให้มันโผล่ออกมาส่งเดชก็พอแล้ว
อาเจียวสอนนางว่าต้องบังคับและเก็บซ่อนหางของตนเองอย่างไร เหยาเหนียงเรียนรู้อย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นางต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องหางเส้นนี้เอาไว้
อาเจียวพูดฉอดๆ สอนนางไปพลางพร้อมกับเผยหางทั้งแปดเส้นของมันออกมา โอ้อวดให้นางดูราวกับนกยูงรำแพนหาง มันยังบอกเหยาเหนียงอีกว่าปีศาจจิ้งจอกสามารถเปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงก็ได้ ตั้งแต่มันตัดหางของตัวเองออกมันก็เปลี่ยนร่างให้เล็กกระจิริดเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตที่สูญเสียไป จากนั้นก็แอบซ่อนอยู่ในเส้นผมของเหยาเหนียง คอยติดตามนางมาตลอด เพราะว่าอาวุธเวทและคาถาอาคมของนักพรตใช้กับนางไม่ได้ผล ดังนั้นการอยู่ข้างกายนางจึงกลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยที่สุด
ถึงแม้ไอปีศาจจะเล็ดลอดออกไป นักพรตหน้าเหม็นนั่นก็คงจะคิดแค่ว่าไอปีศาจนั้นมาจากตัวเหยาเหนียง เช่นนี้ก็สามารถกลบร่องรอยของมันได้พอดิบพอดี
เหยาเหนียงโดดเดี่ยวตัวคนเดียว บัดนี้มีอาเจียวคอยอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อน จึงย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา
อาเจียวซุกอยู่ในอ้อมอกของเหยาเหนียง ขนจิ้งจอกทั่วทั้งร่างรู้สึกสุขสบายภายใต้การลูบไล้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนของนางจนมันนอนหงายท้องขาชี้ฟ้า เผยให้เห็นพุงน้อยๆ อันกลมดิก หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน ดื่มด่ำกับความสงบสุขและความเงียบสงัดจากการตัดขาดจากโลกภายนอก
อาเจียวสะลึมสะลือใกล้จะผล็อยหลับ ดวงตาที่หรี่ลงมากึ่งหนึ่งพลันเหลือบไปเห็นเงาร่างร่างหนึ่งรางๆ
มีคนมา!
อาเจียวพลิกกายลุกขึ้นมาในทันใด จ้องผู้มาใหม่เขม็งพร้อมกับพองขนชูชันไปทั่วทั้งร่าง เหยาเหนียงเองก็พลันตกใจขึ้นมาเช่นกัน พอหันหน้าไปมองจิ้งเฟิงซึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ก็เห็นว่าเขากำลังยืนจดจ้องพวกนางอย่างไม่วางตาอยู่
อาเจียวลอบโกรธแค้นในใจ พลังปีศาจของมันลดถอยลงจนถึงขนาดมีคนเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ มันก็ยังไม่รู้สึกตัวแล้วเชียวหรือ
เหยาเหนียงร้อนรนใจขึ้นมาเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี จะสู้ก็สู้ไม่ไหว จะหนีก็หนีไม่รอด นางถูกบีบจนหมดปัญญา จำต้องลองร้องขอความเมตตาจากเขาดู
“ท่านนักพรตผู้นี้ มันเป็นปีศาจดี อย่าทำร้ายมันได้หรือไม่”
อาเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้น “เขาไม่ฟังเจ้าหรอก นักพรตหน้าเหม็นพวกนี้เห็นปีศาจอย่างพวกเราอย่างกับเห็นศัตรูคู่แค้น อยากจะรีบกำจัดพวกเราให้สิ้นซากใจจะขาด”
ครั้นเหยาเหนียงได้ยินดังนั้นก็นึกถึงแววตาและสีหน้าตอนที่นักพรตจิ้นเสวียนเห็นหางจิ้งจอกของนางโผล่ออกมาในตอนนั้น นางจึงเข้าใจกระจ่างในทันที
นางกอดอาเจียวเอาไว้ ปกป้องมันไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ราวกับต้องการจะเดิมพันด้วยชีวิต “เจ้าห้ามทำร้ายมันเด็ดขาด หากเจ้าทำร้ายมัน ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะสู้กับเจ้าอย่างสุดชีวิต” จากนั้นก็ก้มหน้าพูดกับอาเจียวเสียงแผ่วเบาว่า “ประเดี๋ยวเจ้าฉวยจังหวะตอนที่ข้ากอดเขาเอาไว้รีบหนีไปก่อน อย่างไรเสียคาถาอาคมของเขาก็ใช้กับข้าไม่ได้ผล”