บทที่ห้า
เดิมจิ้นเสวียนคิดว่าภารกิจที่มอบหมายให้จิ้งเหลยไม่ต้องลงแรงมากเดี๋ยวก็คงพาตัวนางมาได้ แต่นึกไม่ถึงว่าผ่านไปครึ่งวันก็มีลูกศิษย์มารายงานว่าศิษย์พี่รองเกิดเรื่องแล้ว
จิ้นเสวียนลอบตื่นตกใจในใจ รีบรุดไปตรวจสอบที่ห้องของจิ้งเหลยดูทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พอเข้าไปปุ๊บก็เห็นทุกคนยืนล้อมวงอยู่หน้าเตียง จิ้งเหลยกำลังนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง
เมื่อลูกศิษย์ทุกคนเห็นอาจารย์เดินเข้ามาจึงหลีกทางออกให้ทันที
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น” จิ้นเสวียนซักถามเสียงขรึม
ลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานว่า “เรียนอาจารย์ ตอนที่ศิษย์เจอศิษย์พี่รองระหว่างทาง เขาก็ใบหน้าขึ้นสีคล้ำเขียว ก่อนเขาจะหมดสติไปได้บอกกับศิษย์ว่าเขาถูกลอบเล่นงาน หลังจากนั้นก็สลบล้มพับไป ศิษย์จึงรีบพยุงเขากลับมาทันทีขอรับ”
จิ้นเสวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด จ้องมองจิ้งเหลยที่อยู่บนเตียงเนิ่นนาน สุดท้ายก็เดินออกไปโดยที่มิได้เอ่ยอันใดแม้แต่คำเดียว
กระทั่งผู้เป็นอาจารย์ออกไปแล้ว จิ้งเหลยซึ่งอยู่บนเตียงก็ฉวยจังหวะตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นค่อยๆ แอบลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นก็หลับตาลงไปอีกครั้ง
โชคดีไปๆ ดีที่ไม่ถูกอาจารย์จับได้ว่าเขาแสร้งทำ ให้เขาไปต่อกรกับนางปีศาจนั้นไม่ยากหรอก แต่ว่าการรับมือกับจิ้งจอกตัวนั้นในเรือนของนางปีศาจช่างแสนยากเย็นเหลือเกิน ที่ชวนให้คนไม่อยากจะเชื่อสายตาที่สุดคือแม้กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังเข้ามาสอดกับเขาด้วย
พอพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่จิ้งเหลยก็อยากจะอัดเขายิ่งนัก ศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ถึงกับปิดบังความลับใหญ่หลวงนี้เอาไว้ลับหลังอาจารย์ ยืนกรานบอกว่าปีศาจจิ้งจอกเป็นปีศาจที่ดี รู้จักตอบแทนบุญคุณ ซ้ำยังบอกอีกว่าแม้แต่ปีศาจจิ้งจอกก็ยังมีน้ำจิตน้ำใจ มนุษย์อย่างเราๆ จะไม่แยกแยะถูกผิดได้อย่างไร
บ้าเอ๊ย! วาจาเช่นนี้แน่จริงก็เอาไปพูดให้อาจารย์ฟังสิ บอกเขาไปจะมีประโยชน์อันใดเล่า ปกติศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนคุยง่าย แต่ว่าคนผู้นี้พอปักใจเชื่ออันใดแล้วก็เหมือนกับวัวที่ฉุดกระชากอย่างไรก็ไม่ยอมหันกลับมา
จิ้งเหลยโมโหกระฟัดกระเฟียด ความเป็นความตายของปีศาจจิ้งจอกเกี่ยวอันใดกับสำนักจี้อวิ๋นของพวกเขาด้วยเล่า? นักพรตต้องปราบมาร นี่คือสัจธรรมที่มิอาจแปรเปลี่ยน!
ทว่าถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็มิอาจหักหลังเขาได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เติบโตมาด้วยกัน จริงๆ แล้วในใจของเขาศิษย์พี่ใหญ่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
จับนางปีศาจไม่ได้ เรื่องปีศาจจิ้งจอกก็มิอาจเปิดโปง คำสั่งของอาจารย์ก็ขัดขืนมิได้อีก นี่เท่ากับตั้งใจจะบีบเขาให้ตายชัดๆ เลยมิใช่หรือ ทางออกเดียวในตอนนี้มีแต่แกล้งสลบเท่านั้น
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถหมดสติไปได้อย่างสบายใจ
ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรักษาตัวให้ดีๆ เถิด!
ในเรือนเล็กเวลานี้จิ้งเฟิงกำลังตบอกรับรองต่อเหยาเหนียงและอาเจียว
“พวกเจ้าวางใจเถิด ถึงแม้ศิษย์น้องรองจะโลภมากชอบหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทำอันใดก็ชอบฉวยโอกาสเล่นแง่ใช้เล่ห์เหลี่ยม ซ้ำยังพูดจาสับปลับกลับกลอก แต่ในเมื่อเขารับปากแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้อาจารย์รู้ เขาก็จะไม่บอกอย่างแน่นอน”
เหยาเหนียงมองจิ้งเฟิงอย่างพูดไม่ออก เจ้าพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้คนวางใจไม่ได้มากกว่าเดิมมิใช่หรือ
อาเจียวพยักหน้าพลางเอ่ย “ในเมื่อศิษย์น้องของเจ้ากลิ้งกลอกขนาดนี้ เขาจะต้องแอบไปแกล้งตายแน่ๆ”
เหยาเหนียงมองไปทางอาเจียวอย่างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่านางมิเพียงแต่เห็นด้วยกับจิ้งเฟิง ทั้งยังเอ่ยสนทนาโต้ตอบกับเขาอีก
“แน่นอนอยู่แล้ว อย่ามองดูแค่ความกะล่อนเจ้าเล่ห์ของศิษย์น้องข้าเล่า เขาเองก็เป็นคนรักความถูกต้องเช่นกัน”
“ลูกศิษย์จอมกะล่อนจึงจะสามารถรับมือกับอาจารย์เจ้าเล่ห์ได้ การผดุงความยุติธรรมจะอาศัยลงมืออย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งคงมิได้ ต้องใช้แผนร้าย”
“ไม่มีปัญหา ศิษย์น้องรองของข้าคนนี้สู้ไม่ได้ก็หนี หนีไม่ได้ก็หลอก หลอกไม่ได้ก็แกล้งตาย เขาฉลาดหลักแหลมยิ่ง”
“ฟังแล้วพึ่งพาได้จริงๆ ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยไว้ ขอบคุณมาก!” อาเจียวหัวเราะคิกคักพลางเอ่ย
“ไม่ต้องเกรงใจไป ก็พวกเราเป็นสหายกันนี่นา!” จิ้งเฟิงเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความขัดเขิน
ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอยิ่ง ซ้ำยังมีความคิดไปในทางเดียวกัน ทำเอาเหยาเหนียงฟังแล้วตะลึงงันจนอ้าปากค้าง พูดจาไม่ออกอยู่เนิ่นนาน แต่นางหารู้ไม่ว่าเรื่องนี้อาเจียวกลับพูดถูกเผง คนที่ชื่อจิ้งเหลยนั่นกำลังแกล้งตายอยู่จริงๆ
อาเจียวกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของจิ้งเฟิง ใช้ศีรษะถูไถกับแผ่นอกของเขา สะบัดหางจิ้งจอกอันปุกปุยไปมา ยิ้มหวานหยดย้อย
“นึกไม่ถึงว่าเจ้านี่ก็มีคุณธรรมน้ำมิตรไม่น้อย ไม่เหมือนกับนักพรตคนอื่นๆ เลยสักนิด”
จิ้งเฟิงอึ้งไป ต่อมาก็รู้สึกยินดี อาเจียวที่ปกติมักจะห่างเหินเมินเฉยใส่เขา ทั้งยังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เขาดู กลับเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดเขาก่อนเป็นครั้งแรก ทำให้เขาปลาบปลื้มดีใจอย่างคาดไม่ถึงไปชั่วขณะ