เขาลูบขนของอาเจียวอย่างแผ่วเบาระมัดระวัง ราวกับกำลังสัมผัสกระเบื้องเคลือบที่แตกหักง่ายอย่างไรอย่างนั้น เกรงว่าจะทำให้มันเจ็บและกลัวว่ามันจะไม่ชอบใจเข้า
อาเจียวมิได้ต่อต้าน มันปล่อยให้เขาลูบแต่โดยดี แสดงออกว่ายอมรับในตัวของเขาแล้ว
จิ้งเฟิงยกริมฝีปากคลี่ยิ้ม สัมผัสที่ใต้ฝ่าเท้าที่ทั้งนุ่มนิ่มทั้งเรียบลื่น ความรู้สึกจั๊กจี้ระลอกหนึ่งแผ่ลามเข้ามา และราวกับว่าลามไปถึงหัวใจของเขา
จริงๆ แล้วจิ้งเฟิงก็ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นอย่างมากเหมือนกับเหยาเหนียง
“อาเจียว” เขาร้องเรียกเบาๆ
“หือ?”
“เมื่อไรพลังปีศาจเจ้าจะกลับคืนมาแล้วสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หรือ”
อาเจียวซึ่งอยู่ในอ้อมกอดชะงักนิ่งไป ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นจ้องมองเขา ครั้นแล้วก็เห็นว่านัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาเจิดจ้าวาววับราวกับคันฉ่อง สะท้อนเงาร่างของมันอยู่ข้างใน
อาเจียวถลึงตากว้าง “เจ้าคิดจะทำอันใด อยากจะเห็นร่างมนุษย์ของข้ารึ”
“อยากสิ” เขาเอ่ยยิ้มๆ “เจ้างดงามขนาดนี้ หากกลายร่างเป็นมนุษย์จะต้องเป็นยอดหญิงงามแน่ๆ”
ปีศาจจิ้งจอกตนใดกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วไม่งดงามไม่หล่อเหลาบ้างเล่า วาจานี้มันไร้สาระชัดๆ! สมกับเป็นนักพรตโง่เง่าจริงๆ
อาเจียวแค่นเสียงฮึในใจเบาๆ ทว่าบนใบหน้ากลับแย้มยิ้มฉอเลาะน่ารัก “ได้สิ ไม่มีปัญหา วันหลังข้าจะแปลงกายเป็นมนุษย์ให้เจ้าดู” ใบหน้าจิ้งจอกถูไถซุกไซ้กับแผ่นอกของเขา ก้นยักย้ายส่ายไปมา หางยังปัดป่ายบนแก้มของเขาอย่างออดอ้อน
จิ้งเฟิงรู้สึกตัวเบาหวิว มุมปากแย้มยิ้มออกมาจนเห็นลักยิ้ม
เมื่อเห็นใบหน้าซื่อๆ ของเขาอาเจียวก็บ่นอุบอิบในใจว่าเจ้าโง่ ข้าไม่ให้เจ้าดูหรอก ถ้าเจ้าจำร่างมนุษย์ของข้าได้ เกิดวันใดทะเลาะแตกหักกันขึ้นมา แล้วเจ้าเอาอาวุธเวทมาเล่นงานข้า จะมิเท่ากับข้าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
“เจ้ารับปากแล้วนะ! เช่นนั้นพวกเราต้องรักษาสัญญานะ พอถึงตอนนั้นเจ้าต้อง…” คำพูดต่อจากนั้นขาดหาย จิ้งเฟิงล้ม ‘ตุ้บ’ ลงกับโต๊ะ สลบไสลหมดสติไป
เหยาเหนียงแตกตื่นตกใจยิ่งนัก “เขาเป็นอันใดไปหรือ”
“ไม่มีอะไร แค่ทำให้เขาหลับไปเท่านั้น” อาเจียวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยกับเหยาเหนียงด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเราต้องรีบหนี ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว จากที่ข้าเห็น นักพรตหน้าเหม็นนั่นคิดจะลงมือรุนแรงกับเจ้าแล้ว”
แรกเริ่มเจาะเอาโลหิต ต่อมาก็สั่งให้ลูกศิษย์วางยาใส่…อาเจียวแค่นเสียงฮึ ยาลวงปีศาจเป็นของที่เอาไว้บังคับควบคุมปีศาจ หากยังไม่รีบหนีตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสหนีอีกแล้ว
สัมภาระติดตัวของเหยาเหนียงเดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว ไม่นานนักนางก็ห่อเก็บเสร็จสิ้น นางเคยชินกับการหนีเอาชีวิตรอดมานานแล้ว แต่ว่าคราวนี้ไม่เหมือนเดิม นางมิได้โดดเดี่ยวตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่ว่ามีอาเจียวคอยอยู่เคียงข้างนางด้วย
ทั้งสองวิ่งออกจากเรือนอย่างรีบร้อน ทว่าเพิ่งจะก้าวเท้าออกนอกเรือน เหยาเหนียงก็ตัวค้างแข็งไป จิ้นเสวียนซึ่งยืนอยู่ในลานกว้างดูท่าทางเหมือนกับยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นนางแบกห่อสัมภาระออกมา แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว
เหยาเหนียงหน้าเปลี่ยนสี อาเจียวซึ่งอยู่บนบ่ากระโดดไปขวางตรงหน้านาง มันแปลงร่างจากลูกจิ้งจอกกลายเป็นจิ้งจอกตัวโตเต็มวัย กางกรงเล็บแหลมคมออกมา หางทั้งแปดชี้ชูชัน ปลุกไอปีศาจให้แผ่กำจายออกมาทั่วทั้งร่าง ส่งเสียงคำรามต่ำเป็นการกล่าวเตือนแก่จิ้นเสวียน
จิ้นเสวียนจ้องมองพวกนางอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดไอปีศาจที่นี่ถึงได้รุนแรงนัก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ถูกต้องหรือไม่” ริมฝีปากบางยกโค้งด้วยความเย้ยหยันเสียดสี “บังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน เหยื่อเข้ามาติดกับเองเช่นนี้ ลดภาระข้าไปได้ไม่น้อย”
เสียงเคร้งดังขึ้นหนึ่งคำรบ กระบี่สยบมารที่อยู่บนหลังถูกดึงออกจากฝักแล้วลอยทะยานสูง พุ่งเข้าประจัญบานกับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ การต่อสู้เดิมพันด้วยชีวิตเปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน การปะทะกันของพลังกระบี่กับไอปีศาจก่อให้เกิดพายุคลั่งส่งเสียงดังคำราม พัดพาเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในลานกว้างปลิวล้มระเนระนาด สภาพเละเทะวุ่นวายไปหมด
ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปความโกลาหลวุ่นวายราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำนี้ก็สงบลง สุดท้ายอาเจียวซึ่งบาดเจ็บช้ำในยังไม่หายดี พลังปีศาจยังไม่ฟื้นคืนกลับมาดังเดิมก็มิอาจต่อกรกับจิ้นเสวียนได้ มันถูกพันธนาการเอาไว้กับพื้น สุดท้ายก็ถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า และโดนกักขังอยู่ในนั้น
จิ้นเสวียนมองดูน้ำเต้า กระดกรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่ไล่ตามจับมาครึ่งปี ในที่สุดเขาก็จับมันได้เสียที