จิ้นเสวียนรีบตามไปที่ห้องลับอย่างเร่งด่วน ภายในห้องลับไม่มีใครอยู่แล้ว เขาสำรวจดูอยู่รอบหนึ่ง ของวิเศษและอาวุธเวทล้วนมิได้ถูกแตะต้อง ทว่าสิ่งของที่ดูเหมือนเลอค่าเหล่านี้จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่เอาไว้ตบตาผู้คนต่างหาก
เขาเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องลับ จากนั้นก็เปิดช่องลับบนผนังออก ครั้นเห็นว่าด้านในว่างเปล่า สีหน้าของเขาก็พลันเขียวม่วงราวกับกินสารหนูเข้าไป!
ตั๋วเงินหายไปแล้ว!
ตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึง…เงินค่าบูรณะหอผนึกมารที่เขาเก็บออมมาเจ็ดปีเต็มๆ หาย-ไป-แล้ว!
ด้านนอกของห้องลับมีการสร้างค่ายกลเอาไว้ ป้องกันทั้งมนุษย์ ภูตผี และปีศาจ ไม่ต้องสงสัยเลย ผู้ที่มีความสามารถพอจะเอาชนะค่ายกลเหล่านี้ได้ นอกจากนางปีศาจตนนั้นแล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใครเป็นคนที่สองอีก
นึกไม่ถึงว่าปีศาจตนนั้นกลับเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เขาประเมินนางต่ำไปอีกครั้ง
จิ้นเสวียนใบหน้าคล้ำเขียว ทั่วทั้งสรรพางค์กายปะทุระเบิดออกมา ไอรุนแรงปานถล่มฟ้าทลายดินได้นั้นมากพอที่จะสยบภูตผีปีศาจให้ครั่นคร้ามได้
ทางที่ดีอย่าให้ตั๋วเงินนั้นเป็นอะไรไปเป็นอันขาด หากเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้น เขาจะไม่ใจอ่อนอีกแน่นอน จะต้องจับนางมัดให้แน่น จากนั้นก็โยนเข้าถ้ำอันมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่อให้นางคุกเข่าร้องขอวิงวอนเช่นใด เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางรอดไปเด็ดขาด
ทว่ายามเขาเห็นนางปีศาจทำท่าจะเผาตั๋วเงินทิ้งนั้น เขาก็เกือบจะคุกเข่าอ้อนวอนต่อนางเสียแล้ว…
เหยาเหนียงประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางไม่มีวรยุทธ์และใช้คาถาอาคมมิได้ นางรู้ว่าตนเองมิอาจเอาชนะเขาได้ แต่ว่าไม่เป็นไร นางสามารถเผาตั๋วเงินของเขาได้
ตอนที่อาเจียวต่อสู้กับนักพรตจิ้นเสวียนอย่างชุลมุนอยู่นั้น มันได้แบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมาส่งตัวนางออกไปจากเรือนเล็ก ช่วยให้นางหนีรอดออกมาได้ แต่นางไหนเลยจะใช่คนขี้ขลาดตาขาวที่ทอดทิ้งผู้มีพระคุณแล้วเอาแต่หนีเอาตัวรอดพรรค์นั้น
เหยาเหนียงดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่จริงๆ แล้วแข็งกร้าวยิ่ง ความทระนงของนางก็คือการกล้าข่มขู่จะเผาตั๋วเงินทิ้ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจิ้นเสวียนตรงๆ
นางรู้ดีว่าตนเองช่วยอาเจียวต่อสู้มิได้ แต่นางสามารถช่วยอาเจียวออกมาได้
วิชาพันธนาการและค่ายกลของลัทธิเต๋าไม่มีผลกับนาง ทำให้นางเดินเข้ามาได้อย่างสะดวกราบรื่นราวกับเข้ามาในดินแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน อีกทั้งเมื่อลูกศิษย์ในสำนักพบเจอนางระหว่างทางกลับไม่มีใครขัดขวาง ถึงแม้นางจะรู้สึกแปลกใจ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว นางคิดว่าในเมื่อคาถาพันธนาการเหล่านี้ไม่มีผลต่อนาง เช่นนั้นนางก็น่าจะสามารถเข้ามาหาสิ่งของล้ำค่าได้บ้าง จากนั้นอาศัยสิ่งนี้ข่มขู่ให้นักพรตจิ้นเสวียนปล่อยตัวอาเจียว หาไม่แล้วนางจะทำลายอาวุธเวทล้ำค่าของเขาเสีย
ไหนเลยจะคาดคิดว่าภูตผีซึ่งอยู่ในโถเก็บเถ้ากระดูกกลับบอกนางว่าสิ่งของล้ำค่าที่สุดของนักพรตจิ้นเสวียนคือตั๋วเงินที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องลับแห่งนี้ บอกให้นางรู้แม้แต่สถานที่เก็บเงินอย่างละเอียดชัดเจน
พอนางหาตั๋วเงินเจอก็รีบไปที่ห้องครัวและจุดไฟขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตั้งท่ารอคอยเขามาเยือน
เงินอีแปะเดียวบีบวีรบุรุษให้ถึงตาย* แต่ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถทำให้จิ้นเสวียนนอนตายตาไม่หลับได้ เขาเก็บออมอย่างยากลำบากมาตลอดเจ็ดปี ยังวางแผนไว้ว่าเดือนหน้าจะหาช่างมาบูรณะซ่อมแซมหอผนึกมารสักครา ให้หอคอยสำหรับกักขังปีศาจของสำนักจี้อวิ๋นเปลี่ยนโฉมใหม่เอี่ยม
“ปล่อยปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเดี๋ยวนี้” เหยาเหนียงมีเงื่อนไขแค่ข้อเดียวเท่านั้น มือของนางถือตั๋วเงินอยู่เหนือไฟ เพียงแค่นางปล่อยมือออก ตั๋วเงินก็จะถูกเผามอดไหม้ภายในพริบตา
ทั้งสองประจันหน้าคุมเชิงกันอยู่ในห้องครัว คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนถูกจิ้นเสวียนไล่ออกไปข้างนอกจนหมด ที่นี่มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
จิ้นเสวียนจ้องมองนางเขม็ง เนิ่นนานผ่านไปในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงต่ำ
“เจ้าเผาสิ ถ้าเจ้ากล้าเผา ข้าก็จะจับปีศาจจิ้งจอกไปขาย”
ครั้นวาจานี้โพล่งออกมาก็เห็นนางหน้าเปลี่ยนสีจริงดังคาด