บทที่หนึ่ง จันทร์กระจ่างเงาร่างหนาวเหน็บอ่อนละมุน
ยามรัตติกาล ดึกสงัดมืดมิด
เสียงฟ้าร้องสองสามครั้งที่ดังกระหึ่มครืนครั่นตรงขอบฟ้าห่างไกล ดังเคียงคู่ไปกับเสียงฟ้าคำรามกลางฤดูใบไม้ผลิ จึงยิ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษ
ย่านละลายทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงได้ถ่ายทอดสีสันเพริศแพร้วและมนตร์เสน่ห์ของยามราตรีออกมาจนหมดสิ้น เสียงอึกทึกครึกโครมไต่ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างไม่มีขอบเขต หลังจากนั้น ความคึกคักร้อนแรงหาใดเปรียบก็ค่อยๆ สงบเงียบ แขกเหรื่อที่มาชมบุปผาจนอิ่มเอมเปรมอุราแล้ว สุดท้ายก็มึนเมาหลับสนิทในอ้อมกอดของนวลนาง
ณ ย่านละลายทรัพย์ ด้านในของสำนักสำหรับมอบความหฤหรรษ์แก่ผู้คนแห่งหนึ่ง บุรุษรูปงามเปิดประตูฉลุลายร้อยบุปผาฝีมือวิจิตรออกแผ่วเบา สาวเท้าก้าวออกจากห้องรับรองที่มีแสงไฟมัวสลัว
สถานที่ซึ่งกินพื้นที่กว้างใหญ่นี้หาใช่หอโคมเขียวหรือสำนักนางโลมทั่วไป แต่ในพื้นที่แถบทางใต้ของเมืองหลวงแคว้นเทียนเฉาที่ถูกยึดครองโดยเหล่าคณิกานางโลม ที่นี่ถึงกับได้รับขนานนามว่าเป็น ‘หนึ่งจุดเขียวท่ามกลางหมื่นบุปผาแดง’ สำนักชายบำเรอ…สำนักชิงเยี่ยน
สมดังคำกล่าว ‘ยามธารน้ำใสกระจ่างลมทะเลเงียบสงบ ผู้รับใช้ขอมอบดวงใจต่อนายท่าน’
‘เหล่าผู้รับใช้’ ในสำนักชิงเยี่ยน แม้เป็นบุรุษเพศทั้งหมด ทว่ากลุ่มเป้าหมายในการปรนนิบัติกลับไม่แบ่งแยกหญิงชายแก่เด็ก ขอเพียงแต่จ่ายเงินหนักพอ ฟุ้งเฟ้อพอ อยากเล่นสนุกอย่างไร บรรดาชายบำเรอในสำนักชิงเยี่ยนก็พร้อมต้อนรับขับสู้ถึงที่สุด รับรองความพึงพอใจ
บุรุษฝีเท้าแผ่วเบา งับปิดประตูด้านหลังตนอย่างรอบคอบ
เขาไม่ใช่แขกเจ้าสำราญรักสนุกที่มุ่งหน้ามาเด็ดดมบุปผาเที่ยวชมต้นหลิว
แต่หากถามว่าคุณชายอันดับหนึ่งผู้เลื่องชื่อแห่งสำนักชิงเยี่ยนคือใคร คนผู้นั้นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา
“ชิวกวน…ชิวกวน…” มีคนกดเสียงต่ำร้องเรียกเขา น้ำเสียงแฝงแววกระวนกระวายใจ
ฉินชิวชายตามองไปเมื่อได้ยินเสียง เส้นผมสีดำขลับที่ปล่อยสยายตรงหน้าอกดุจแพรไหมเนื้อเลื่อม มองเห็นบุรุษรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่อีกฟากของทางเดิน แสงเทียนในโคมไฟสองสามดวงที่ยังไหม้ไม่หมดวูบไหวเล็กน้อย ส่องสะท้อนชุดแพรยาวลายดอกไม้แดงของฝ่ายหลังออกมาเป็นความซึมเซาหลังบุปผาสะพรั่งร่วงโรยหมดสิ้น
สิ่งที่ทำให้ฉินชิวเห็นว่าน่าสนใจก็คือบุรุษที่รีบร้อนมาตรงหน้าเขาผู้นี้ยามกล่าวคำขึ้นมาไม่มีอาการซึมเซาเลยสักครึ่ง ไม่เพียงไม่ซึมเซา ใบหน้ายังแสดงอารมณ์หลากหลาย น้ำเสียงก็มักจะสลับสูงต่ำจนดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
เมื่อห้าปีก่อนที่เขาเลือกปักหลักที่สำนักชิงเยี่ยน เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากที่เขาฉินชิว ‘ต้องตา’ ผู้เป็นเจ้าของสำนักแห่งนี้ เจ้าของสำนักทั้งน่ารำคาญและยังอวดโอ่ กระนั้นกลับเป็นคนจิตใจดี ในสายตาคนนอกเรียกได้ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ละมุนละม่อมเข้ากันได้กับทุกคน ขณะที่ท่าทีลับหลังกลับเป็นลุงวัยกลางคนที่ชอบบ่นกระปอดกระแปด
เจ้าของสำนักคือผู้ใดน่ะหรือ ก็คือบุรุษชุดแพรที่ปราดมาเบื้องหน้าเขาในตอนนี้อย่างไรเล่า
“ชิวกวนเจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เฟิ่งหมิงชุนเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนใช้สองมือจับแก้มฉินชิว ดวงตาหงส์รีแคบพินิจมองอีกฝ่ายขึ้นลงอย่างตกประหม่า
“จะเกิดเรื่องอันใดได้” พวงแก้มเนียนละเอียดของฉินชิวผุดลักยิ้มขึ้นจางๆ พลางเอ่ยตอบคำถามด้วยคำถาม
“เรื่องที่เกิดขึ้นได้มีถมเถไป! เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรจริงหรือ” เฟิ่งหมิงชุนยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อกว้างของฉินชิวพร้อมให้เขาหมุนตัว หันซ้ายทีขวาที ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดที่หว่างขาและบั้นท้ายของเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อยพลางบ่นงึมงำขึ้นอย่างห้ามไม่ได้…
“ก่อนหน้านี้บอกเจ้าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ คืนนี้คนที่เจ้าเชิญเข้ามาที่หอซือเฟยนี้เป็นคนธรรมดาเสียที่ใด! นายท่านท่านนั้นเขาบอกว่าตนเองแซ่เหยียนนามต้า พวกเราได้ยินก็รู้ว่าเป็นชื่อปลอม เป็นมาอย่างไรก็ไม่รู้ มิอาจยุ่งด้วย! ชายบำเรอหนุ่มน้อยสามคนที่เราเพิ่งรับเข้าหอมาฝึกฝนได้ปีเดียว สองสามวันก่อนเกิดถูกเหยียนต้าผู้นั้นต้องใจ เขาคนเดียวหนึ่งสู้สาม เปิดห้องรับรองเรียกสามคนเข้าไป ไหนเลยจะคาดคิดคืนนั้นเสียงคร่ำครวญดังระงมไม่ขาดหู เฮ้อ…เสียงร้องแหลมเศร้ายิ่งนัก ร้องจนหัวใจตับม้ามปอดของข้าแทบเคลื่อน ทน…ทนดูไม่ได้อย่างแท้จริง ข้ากัดฟันบุกเข้าไป ผลสรุปคือคำอ้อนวอนไม่ทันเอ่ยได้ครึ่งประโยคก็โดนถีบลอยออกมา สลบไปตรงนั้นจนวันถัดมาถึงฟื้นคืนสติ นั่น…นั่นก็สายเกินไป สายเกินไปทั้งสิ้น…”