บทที่สอง ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน
เข็มโลหะยาวสามชุ่น ไม่เพียงทิ่มแทงเนื้อหนัง ยังแทงทะลุถึงกระดูก หากต้องการถอนออก ย่อมต้องทำให้นางเจ็บ
สิ่งที่ทำให้ฉินชิวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก็คือเขาลงมืออย่างปุบปับ ทำให้ความเจ็บปวดที่หลังนางปะทุขึ้น นางที่จิตใจไม่มั่นคงยังคงแม้แต่ร้องโอดครวญดังลั่นสักเสียงก็ยอมไม่ได้ กระนั้นร่างกายกลับตอบสนองทันควัน นางพลิกร่างกดเขาที่เป็น ‘ศัตรู’ เอาไว้ เพียงออกฝ่ามือก็เป็นท่าพิฆาตทันที
เขาโดนผลักล้มลงกับเตียงในพริบตา ในใจเขาเชื่อว่ามือสองข้างของหญิงสาวที่บีบลำคอตนเองขอแค่บิดเท่านั้นก็จะสามารถจบชีวิตเขาลงได้อย่างง่ายดาย
ในชั่วอึดใจแสนสั้นนั้น เขามองเห็นไอสังหารที่แผ่ออกมาจากเรียวคิ้วและดวงตานาง มันช่างเยียบเย็นดั่งคมมีดคมกริบ
ดวงหน้าที่รูปโฉมค่อนไปทางอ่อนละมุนนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนั้น ไม่เจือความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย ไม่ปะปนความสงสารแม้สักครึ่งหนึ่ง ยิ่งไม่มีความเกลียดชังแม้เพียงเศษเสี้ยว พูดถึงที่สุดคือเป็นเพียงความคิดอันบริสุทธิ์ยิ่งเท่านั้น นางเกิดความคิดที่จะสังหารเขา ไม่ใช่เพราะเหตุใด แค่เพื่อตัวนางรอดชีวิต
จากนั้นพริบตาถัดมา แววตานางเปลี่ยนแปลงฉับพลัน นิ้วมือทั้งสิบผ่อนแรง นางจำเขาได้!
ฉินชิวพบว่าตนเองละสายตาจากนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะสีหน้าของนางเปลี่ยนแปรไปและเปลี่ยนแปรกลับมาอีกหน การเปลี่ยนแปรนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ พลอยทำให้หน้าอกซ้ายของเขาเครียดเกร็งและผ่อนคลาย ผ่อนคลายและเครียดเกร็งอีก เขาได้ลิ้มลองอารมณ์ที่เกือบนับได้ว่ากระสับกระส่ายซ้ำๆ
นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาแสนนาน…ทำให้รู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ศพเดินได้ร่างหนึ่ง
ดังนั้นริมฝีปากบางของเขาจึงคลี่ยิ้มช้าๆ แย้มยิ้มให้นางอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
แม่นางผู้นี้เป็นคนล้ำเลิศอย่างที่คิด และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ถึงกับถามเขาขึ้นว่า…
‘…แต่ท่าน ท่านได้ถอดหรือไม่’
ขณะเอ่ยคำ นางพลันน้ำตารินอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
หยาดน้ำตาอุ่นร้อนราวกับลวกผิวหนังได้ เขาตะลึงงันยิ่ง ก่อนจะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ซึ่งคล้ายว่าได้สติครบถ้วนสมบูรณ์กะทันหัน นางหรี่ดวงตาเม้มปาก ลมหายใจหนักอึ้งขึ้น ใบหน้าเล็กเย็นชาฉายแววระวังภัยเต็มเปี่ยม
สัมผัสได้ว่าแรงที่กดตรงลำคอผ่อนปรนลงเล็กน้อย ฉินชิวกะพริบตาให้นาง ดุจไม่เคยสังเกตเห็นนางหลั่งน้ำตามาก่อนพลางเอ่ยเนิบนาบขึ้นอีก…
“เคยได้ยินตั้งแต่ในอดีตว่านักพรตหลิงเจินสร้างสามค่ายกลสิบสองด่านกลไกไว้ในจวนจงหย่งกง ในนั้นที่อันตรายที่สุดยากเย็นที่สุดคือกลไกนามว่า ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ แม้รู้สึกสงสารที่แม่นางได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่นี่กลับทำให้ข้าเปิดหูเปิดตา เห็นกับตาตนเองว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นสร้างหายนะกับคนเพียงใด”
…บุรุษผู้นี้รู้เรื่องราวไม่น้อยอย่างแท้จริง นางจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อครู่เนื่องจากเขาขยับริมฝีปากเอ่ยคำ น้ำตาสองหยดที่ตกลงบนใบหน้าเขาจึงกลิ้งลงไปตามพวงแก้ม หัวใจนางบีบรัดเล็กน้อย ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
ประดุจอ่านความคิดนางออก เขาฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเอ่ยอธิบาย “ที่นี่ทำอะไรหาเลี้ยงชีพเชื่อว่าแม่นางไม่มีทางไม่รู้ ในเมื่อมาหาทางรอดในสำนักชิงเยี่ยนแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องเข้าใจผิวเผินสักหน่อยจึงจะดี ปกติยามสนทนากับใคร ฟังมากจำมากเรียนรู้ให้มากไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน หากเป็นดังนี้ ยามพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนแขกที่มาถลุงทองเด็ดดอมบุปผาจะได้พูดคุยอย่างดูเข้าท่าเข้าทางประหนึ่งตนเองมีความรู้มากจริงๆ และแน่นอนค่าตัวก็จะสูงขึ้นประหนึ่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม”
ในสายตานาง บุรุษที่กำลังรองรับการปรายตามองอย่างเย็นชาจากนางผู้นี้ใบหน้างดงามยิ่งนัก ‘งามสง่า’ สองคำใช้บรรยายองคาพยพทั้งห้าของเขาได้อย่างเหมาะเจาะพอดีโดยแท้