“หากใช่ ก็ถูกต้องแล้ว” มือของเขาถือหิน ท่วงท่าขยับดึงเข็มมิได้หยุดลง ครุ่นคิดหลายอึดใจจึงเอ่ย “หากสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงช่วยเหลือ กระนั้น แม่นางรับเงินทองผู้อื่น กำจัดเคราะห์ภัยแทนผู้อื่น อยู่ท่ามกลางประกายดาบเงาโลหิตในยุทธภพทำมาหาเลี้ยงชีพมิง่ายดาย ยุทธภพที่เจ้าอยู่เป็นเช่นนี้ เส้นทางบุรุษคณิกาของข้ามิใช่เหมือนกันหรือไร ก็ไม่รู้ว่า ‘ต่างเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน’ ความจริงข้อนี้มิทราบโน้มน้าวใจแม่นางได้หรือไม่”
เข็มโลหะที่สาม ที่สี่ ตามด้วยที่ห้าและที่หกถูกถอนออกไปติดต่อกัน
นางสั่นเทาไปทั้งร่าง หอบหายใจติดกันหลายคำจึงบรรเทาความเจ็บปวดทรมานลงได้ เสียงสั่นแหบถามขึ้นแผ่วเบาอีกครา “สุนัขสองสามตัวนั้นของจวนจงหย่งกงท่าน…ท่านทำให้มันสงบได้อย่างไร อีกทั้งคนพวกนั้น…พวกเขาบุกขึ้นหอมาย่อมไม่มีทางล้มเลิกโดยง่าย ท่าน ท่าน…”
“ข้าถอดแล้ว”
ประโยคสั้นๆ อันราบเรียบของฉินชิว แก้เรื่องกังวลที่ลอยค้างอยู่ในใจนางทันที
เขาเอ่ยต่ออีกว่า “แม่นาง เมื่อครู่เพิ่งฟื้นคืนสติ อ้าปากก็มุ่งมาสอบถามข้าเลย คาดว่าใจคงพะวงในเรื่องนี้อย่างมากกระมัง” ใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่สะทกสะท้าน “ครูฝึกหลี่แห่งจวนจงหย่งกงพาคนมาพร้อมปล่อยสุนัขดุร้ายบุกเข้ามา ตอนนั้นข้าลากแม่นางเข้ามาในห้องลับด้านหลังผนังห้องนี้แล้ว ประกอบกับในหอข้ากลิ่นหอมบุปผากับกลิ่นควันธูปผสมปนเปกัน ซ้ำกลิ่นที่ส่งออกมาจากพิณไม้ก็ยังต่างกันออกไป หากต้องการหลบเลี่ยงประสาทรับกลิ่นของสุนัขก็หาได้ยากเกินไปนัก ส่วนคนพวกนั้น…” ริมฝีปากบางขยับไปมา… “พวกเขาต้องการยืนยันว่าบนหลังข้ามีบาดแผลหรือไม่ ข้าถอดให้พวกเขาตรวจสอบเป็นพอ ไม่นับเป็นอะไร”
นางกัดฟัน น้ำเสียงยิ่งทุ้ม “พวกเขาไม่ได้ต้องการตรวจสอบท่าน พวกเขาต้องการ…”
“ข้าทราบ พวกเขาต้องการหยามเกียรติข้าต่อหน้าธารกำนัล” เขาขัดบทนางเรียบๆ มุมปากหยักโค้งอยู่เสมอ “เดิมข้าก็เป็นคนทำอาชีพระดับล่าง ประสบเรื่องทุกข์ใจพรรค์นี้ย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ อดทนสักหน่อยก็ผ่านไปได้ ทว่าหนนี้ถือว่าโชคดีสุดแสน เถ้าแก่ชุน เอ่อ…ข้าพูดถึงเฟิ่งหมิงชุนเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนของพวกเรา เขาก็มีฝีมือมากพอตัว เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนของจวนจงหย่งกง ถึงหอพวกเราจะเลี้ยงดูอันธพาลไว้เองไม่น้อยก็มิกล้าใช้ไม้แข็งก่อการทะเลาะวิวาท เถ้าแก่ชุนพลันนึกได้ว่าผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว กำลังพักค้างในเรือนชั่งซือของคุณชายเหลียนตง ตอนที่เขารุดมาคุ้มครองข้าก็ได้สั่งให้คนไปขอความช่วยเหลือที่เรือนชั่งซืออย่างรีบด่วนแล้ว”
ไหล่กว้างของเขาห่อลงเล็กน้อย ท่าทางผ่อนคลายลง “ยังต้องขอบใจคุณชายเหลียนตงของพวกเราที่พอพูดอะไรกับผิงจวิ้นอ๋องและเสี่ยวกั๋วจิ้วได้บ้าง แขกผู้สูงส่งทั้งหลายก็ยินดีช่วยเหลือ ตอนที่ข้าถูกบีบให้ถอดเสื้อผ้า แขกทั้งสองส่งองครักษ์ประจำตัวมา ชั่วพริบตาก็คุมสถานการณ์ให้สงบลงได้ และตอนนั้นข้าเพิ่งจะถอดเสื้อออกร่างเปลือยเปล่ากึ่งหนึ่ง ยังสวมกางเกงอยู่ ดังนั้นไม่นับว่าถูกหยามเกียรติ และไม่ถือว่าเสียเปรียบเช่นกัน”
ไม่นับว่าถูกหยามเกียรติที่ใดกัน
เห็นกันชัดๆ ว่าถูกข่มเหงรังแกนี่!
นางอัดอั้นในอก หอบหายใจถี่รัวพลางจับจ้องใบหน้างามเรียบสุขุมที่ประหนึ่งไม่ขัดขืนต่อการหยามเหยียดดูแคลนจนชาชินนั้น
อาจเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง พัวพันกับนาง แต่เขากลับต้องรับเคราะห์ครานี้ไปเปล่าๆ จึงพาให้นางรู้สึกผิดอยู่บ้าง และใส่ใจเขาขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
“วันนี้คุณชายยื่นมือเข้าช่วย วันหน้าข้าย่อมตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน” น้ำเสียงนางแหบแห้ง ทว่าคำสัญญาที่กล่าวออกมากลับชวนให้คนฟังรู้สึกถึงน้ำหนักของมันอย่างลึกซึ้ง
ฉินชิวมีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กๆ รอยโค้งที่มุมปากพลันหยักลึกขึ้น ใต้การขับเน้นด้วยแสงเรืองรองของหินหลินสือสี่ก้อน พวงแก้มของเขาปรากฏเงาแสงประหลาดเข้มบ้างอ่อนบ้างสองดวง ราวกับกำลัง…เขินอาย
“ตอบแทนไม่ตอบแทนอะไรกัน ข้า…ข้า ข้าไม่เคยคิด แต่…” เขาเม้มริมฝีปากอย่างขวยอาย ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ย “หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าอยากสอบถามชื่อเสียงเรียงนามของแม่นาง แม้พูดว่าเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน พบพานมิจำเป็นต้องเคยรู้จัก แต่ยังคงอยากรู้ว่าผู้มีวาสนาได้พบชื่อใดแซ่ใด”
ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด ตอนที่ฉินชิวยิ้มหยันในใจนึกว่าจะมิได้รับคำตอบนั้น นางกลับขยับกลีบปากทั้งสองเอ่ยว่า…