ทันใดนั้น แว่วเสียงร้องเรียกมาจากนอกประตูโถงเล็กข้างหน้า นางจำเสียงนี้ได้ นี่เป็นเสียงของคนที่ฝ่าขึ้นหอมาปกป้องเขาเมื่อคืน
“ชิวกวน…ชิวกวนเจ้าคงไม่ได้ยังนอนอยู่กระมัง ควรจะตื่นนานแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อได้สดับเสียงนี้เช่นกัน บุรุษตรงหน้านางก็ดึงผ้าโปร่งมาคลุมร่างนางทันทีพลางเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “เถ้าแก่ชุนย่อมไม่ทำให้เสียเรื่อง เจ้านั่งอยู่นี่อย่าขยับ เขายืนอยู่ข้างนอกมองเห็นไม่ชัด ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
จากนั้นผ้าโปร่งชั้นแล้วชั้นเล่าที่อาบย้อมกลิ่นจันทน์หอมเช่นกันก็ห้อมล้อมรอบกายนาง จนทั่วร่างนางเป็นกลิ่นหอมกรุ่น
อูลั่วซิงมิได้ตอบคำ เพียงพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับว่า ‘เข้าใจ’ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปของฉินชิว
เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าเชื่องช้าไปจนถึงประตู ประตูถูกเปิดออก เฟิ่งหมิงชุนที่คอยอยู่ด้านนอกเร่งเสียงสูงทันที…
“ข้ายังนึกว่าชิวกวนนอนตายไปแล้ว ไม่เห็นเงาคนทั้งวัน ข้าวก็ไม่กินแล้วใช่หรือไม่ นี่ ข้าช่วยยกข้าวมาให้แล้ว เป็นของที่เพิ่งสั่งห้องครัวเตรียมเสร็จ ทั้งยังเป็นของชอบเจ้าทั้งนั้น กินมากหน่อย อย่าโมโหพวกคนจากจวนจงหย่งกงอีกเลย ตนเองอย่าทำให้ตนเองต้องลำบากเป็นพอ”
“ขอบใจเถ้าแก่ชุนที่ห่วงใย ข้าไม่เป็นไร” ฉินชิวน้ำเสียงแฝงรอยยิ้ม “งานบนหอข้าดูแลเองว่าจะทำอย่างไร ค่อยๆ เก็บเป็นใช้ได้ ไม่ทำให้การค้าของสำนักชิงเยี่ยนล่าช้าแน่”
“ใครคิดเล็กคิดน้อยเรื่องทำการค้าไม่ทำการค้ากับชิวกวนกัน ข้านี้เป็นห่วงว่าชิวกวนจะเป็นทุกข์ชั่วขณะ ทำตนเองหิวโซผ่ายผอมทั้งเป็น เช่นนั้นคงเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว”
ฉินชิวหัวเราะแผ่วเบาสองเสียง “ไม่แน่นอน ไม่มีทางปฏิบัติกับตัวเองไม่ดี ขอเพียงมีชีวิต ก็มักจะมีเรื่องดีเกิดขึ้น มักจะได้พบคนมีวาสนาต่อกัน หลังเผชิญเรื่องเมื่อคืน ได้รู้จักคนมีวาสนาต่อกัน นั่นก็…นั่นก็สุขใจไม่น้อยแล้ว”
“คนมีวาสนาต่อกันอะไรหรือ อ๊ะ…อ๋า ชิวกวนกำลังพูดถึงผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้วสองคนนั้นกระมัง นั่นถูกต้องๆ เป็นคนมีวาสนาต่อกันจริงๆ ยังดีที่คุณชายเหลียนตงของพวกเราผูกดวงใจผู้สูงศักดิ์สองคนนั้นได้ เมื่อวานขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือดูแลของพวกเขาทั้งสิ้น เพียงแต่…เอ่อ…” จู่ๆ เฟิ่งหมิงชุนก็เอ่ยอย่างอึกๆ อักๆ
“เถ้าแก่ชุนมีธุระอะไรโปรดกล่าวมาตามตรงเถิด ไม่เป็นอันใดหรอก”
“เอ่อ…หึๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงพวกเราได้รับความเมตตาจากผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว รับไมตรีก็ต้องคืน คืนนี้พวกเขาสองคนเชิญไห่หนิงโหวซื่อจื่อ* มาเยือนด้วยกัน ทั้งยังเจาะจงชื่อชิวกวนกับเหลียนตงเป็นพิเศษให้อยู่คอยรับรอง เอ่อ…ข้ารู้ เจ้าเดียดฉันท์รำคาญไห่หนิงโหวซื่อจื่อที่อ้วนเผละคนนั้นมาตลอด แต่ยามนี้ในสถานการณ์นี้ พวกเราไหนเลยจะไม่ยอมก้มหัวได้ ดังนั้นชิวกวน ข้านั้นอยาก…ให้เจ้าวางกิริยาอ่อนลงสักหน่อย พวกเราก็อย่าทำให้ซื่อจื่อผู้นั้นอับอายไปเลย ได้หรือไม่”
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัดก่อน จากนั้นเสียงใสกระจ่างของฉินชิวก็ดังขึ้นแผ่วเบา…
“ข้าเข้าใจแล้ว คืนนี้จะปรนนิบัติไห่หนิงโหวซื่อจื่ออย่างดี เถ้าแก่ชุนไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”
“ดีๆ ชิวกวนเข้าใจเป็นพอ เช่นนั้น…เช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากินข้าวให้อร่อย กินเสร็จก็เตรียมตัวอย่างพิถีพิถันสักยก รอรับรองแขกในคืนนี้”
จากนั้นเฟิ่งหมิงชุนก็จากไป เจ้าของหอซือเฟยกลับมายังห้องด้านใน
อูลั่วซิงกระชากผ้าโปร่งออกด้วยตนเอง ก็เห็นถาดขนาดใหญ่ที่จัดวางอาหารโอชารสเต็มไปหมดถูกวางลงบนพื้นเบื้องหน้านาง
“เจ้าหิวแล้วแน่ๆ ใช่หรือไม่ รีบกินสิ” ฉินชิวคุกเข่าลงข้างหนึ่งจัดแจงทุกอย่างพลางยื่นตะเกียบเงินให้นาง
อูลั่วซิงรับตะเกียบคู่นั้นมาโดยจิตใต้สำนึก ริมฝีปากสีชาดเผยอน้อยๆ มิได้ส่งเสียง
ฉินชิวรินชาหอมละมุนให้นางถ้วยหนึ่งเสร็จ ก็คล้ายฉุกคิดอะไรได้ เลิกคิ้วทั้งสองขึ้นพลางเกาหน้าผากเอ่ยเสียงนุ่ม “หากปวดเบา ประตูเล็กตรงมุมนั้นเข้าไปจะเป็นห้องเล็กสำหรับปลดเบาล้างหน้าล้างมือ แม่นางอูใช้ได้ตามสบาย”
กล่าวจบ เขาก็ผุดลุกขึ้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ก่อนจะหมุนตัวจากไปทันที
อูลั่วซิงเห็นท่าทีนั้นลมหายใจพลันร้อนระอุ ในที่สุดก็เอ่ยปากถามกับเงาหลังของเขา “แล้วท่านเล่า ทะ…ท่านไม่กินอาหารทั้งวัน ไม่หิวหรือ ไม่กินสักหน่อยหรือ”
เขาหันตัวมาเล็กน้อยคลี่ยิ้มจางๆ กับนางพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
“ยามนี้สายเกินไปไม่กินดีกว่า อย่างไรเสียค่ำหน่อยต้องรับแขก ก็ไม่รู้จะยุ่งยากอย่างไรอีก กินอะไรเข้าไปจะยิ่งทรมานมาก” รอยโค้งที่มุมปากกดลึก “แม่นางอูมิใช่ต้องการตอบแทนบุญคุณหรือ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองอาหารเหล่านี้ เช่นนั้นก็ช่วยข้ากินให้มากหน่อยเถิด”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ม.ค. 64