ฉินชิวค้อมศีรษะนิ่งๆ เดินมุ่งหน้าไปยังอีกฟากของทางเดิน หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…เพียงหกเจ็ดก้าว ทันทีที่เขาหมุนตัว ทั้งร่างก็กลืนหายไปในพุ่มใบไม้ดอกไม้ที่เจริญเติบโตงอกงามอยู่ข้างหอซือเฟยแล้ว
โครงสร้างของหอซือเฟยและการออกแบบในตอนแรกนั้นล้วนออกมาจากมือของฉินชิวทั้งสิ้น หอแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นสถานที่ซึ่งฉินชิวผู้เป็นคุณชายอันดับหนึ่งใช้รับรองแขกสำคัญ เพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาด บทกวี สุรา บุปผาล้วนมีให้ ต้องการสุภาพเรียบร้อยก็มีท่วงทีสุภาพเรียบร้อยให้ ต้องการดุเดือดก็มีท่าทางแข็งกร้าวดุเดือดให้ ขึ้นกับว่าบรรดาแขกต้องการเล่นอะไรบ้าง และอยากเล่นอย่างไร ทุกคนที่ย่างเท้าเข้ามาล้วนสามารถสมปรารถนาได้ในหอซือเฟย
พื้นที่ชั้นสองเป็นเขตส่วนตัวของฉินชิว
บันไดหินเล็กที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสองแทรกตัวอยู่ติดผนังด้านนอกของหอซือเฟย ซ่อนอำพรางอย่างชาญฉลาดอยู่ในซุ้มแมกไม้บุปผาพรรณกับต้นจื่อเถิง* ที่เรียงติดกันเป็นม่าน นี่เป็นสถานที่ซึ่งไม่ต้องการให้แขกที่มาเสพสุขในสำนักชิงเยี่ยนบุกเข้าไป และเป็นสถานที่ซึ่งในสำนักชายบำเรอนอกจากเฟิ่งหมิงชุนกับข้ารับใช้ชราผู้เป็นใบ้ที่คอยช่วยส่งน้ำทำความสะอาดแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชั้นสองอีก
แต่จะว่าไป ที่เฟิ่งหมิงชุนเข้าเขตส่วนตัวของฉินชิวได้ หนึ่งเพราะท้ายที่สุดเขาก็คือเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนควบด้วยตำแหน่งเถ้าแก่ สองเพราะเขารู้จักรุกรู้จักถอย ปกติหากไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีคำเชิญของฉินชิว เขาไม่มีทางขึ้นชั้นบนโดยพลการเป็นอันขาด
หลังจาก ‘มอบหมายงาน’ ด้านล่างแก่เฟิ่งหมิงชุนเรียบร้อย ฉินชิวเดินสูดกลิ่นหอมอ่อนที่โชยมายามราตรี มุ่งไปทางบันไดหินลับกลับไปยังสถานที่ส่วนตัวของตน
“เอ๋?”
เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นบุปผาผิดปกติ เจือปนด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเบาบางยิ่ง ขณะที่ยังมิได้ขยับฝีเท้าก้าวต่อไป มีดคมกริบทอประกายสีเงินวาววับเล่มหนึ่งก็พลันจ่อเข้ามาจากด้านหลัง
คมมีดแนบติดกับผิวเกลี้ยงเกลาข้างต้นคอ ตามด้วยฝ่ามือหนึ่งยกขึ้นปิดปากเขา มือฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมีพลัง นิ้วมือที่แผ่ไอเย็นนั้นกดลงไปในเนื้อเขาเล็กน้อย นาบสนิทจนริมฝีปากเขาส่งเสียงใดออกมาไม่ได้
“อย่าขยับ! ห้ามร้อง!” น้ำเสียงที่จงใจกดต่ำ ชวนให้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ทว่ากลับเป็นเสียงหญิงสาว!
ฉินชิวก้าวไปข้างหน้าตามแรงที่อีกฝ่ายดันมา เขาถูกคุมตัวเข้าไปในห้องพักบนชั้นสอง
ทันทีที่ประตูปิด เขาได้ยินหญิงสาวผู้นั้นข่มขู่อีกครั้ง
“หากกล้าร้องขอความช่วยเหลือ ข้าจะบั่นคอท่านทันที”
เขาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ มือที่อุดแน่นบนปากจึงค่อยผละออกช้าๆ ทว่ามีดเงินเล่มนั้นกลับไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย ยังคงแนบติดกับข้างลำคอเขา
ในห้องไม่มีตะเกียงสักดวง เคราะห์ดีที่แสงจันทร์นวลกระจ่างดุจน้ำค้างแข็งลอดผ่านกระดาษกรุหน้าต่างแผ่นบางเข้ามา ทำให้ร่างสองสายที่อยู่กลางแสงสว่างรำไรอย่างเงียบเชียบนี้ ไม่ถึงขั้นมืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า
ฉินชิวเบนสายตาปรายมองไปยังเงาทะมึนของหญิงสาวที่ทอดลงบนพื้น เงาร่างนั้นสูงโปร่งเพรียวบาง แขนที่ถือมีดคมกริบชูขึ้นตรง ทว่าจู่ๆ นางก็กลับห่อหลังเล็กน้อย
“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ” ฉินชิวเอ่ยขึ้นกะทันหัน เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวล ใสซื่อไร้พิษภัย “จมูกผู้น้อยพอนับว่าใช้การได้ดี จึงได้กลิ่นเลือดจางๆ…ดังนั้นพวกเรายังจะยืนนิ่งกันเช่นนี้อีกหรือ ที่พักของข้านี้มีตั่งมีพรม มีเก้าอี้มีม้านั่งและยังมีพนักคนงาม หากท่านไม่รังเกียจสามารถพักอยู่ได้ พวกเราดูว่าอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างก่อน ดีหรือไม่”
เขาไม่เพียงไม่ตกใจไม่หวาดกลัว ท่าทีโน้มน้าวด้วยวาจานิ่มนวลยังพาให้หญิงสาวด้านหลังใจลอยไปชั่วขณะ ลมหายใจของนางระส่ำเล็กๆ ทว่าอึดใจเดียวก็สงบลงพลางเอ่ยเสียงเย็น “ไม่รบกวนให้ใต้เท้าต้องลำบาก”
ฉินชิวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “อืม…แต่ไรมาไม่เคยมีใครเรียกข้าว่า ‘ใต้เท้า’ เลย นี่เป็นครั้งแรกทีเดียว”
ลมหายใจเข้าออกของหญิงสาวระส่ำระสายอีกครา คล้ายปั่นป่วนเล็กๆ เพราะรอยขันในน้ำเสียงเขา