เสียงหัวเราะของบุรุษใสเสนาะดั่งกระดิ่งกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ “เพราะว่าข้าอ่อนแอมาก แม่นางจึงได้ปกป้องข้าไว้ด้านหลังตัวใช่หรือไม่ มองดูเช่นนี้ แม่นางใช้มีดคมจ่อคอข้า ก็เป็นเพียงคำพูดข่มขู่ หลอกให้กลัวไปเท่านั้น ไม่คิดทำร้ายข้าตั้งแต่ต้น แม่นางรู้หรือไม่ ผู้ที่ใจอ่อนต่างหากที่อ่อนแอ แม่นางใจอ่อน แม่นางจึงจะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอผู้นั้น”
นางยังคิดเอ่ยวาจา กระนั้นกลับจับกระแสความคิดตนเองไม่ได้เสียแล้ว
เสียงของเขาไพเราะอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงเสนาะหูเกินไป ไม่ต่างกับการโยนเหยื่อล่อ ล่อให้นางปลดปล่อยทุกอย่าง หลงลืมทุกสิ่ง…
“นอนเถอะ ไม่เป็นอะไรแน่”
“อืม…อื้อ…” นางรู้สึกแปลกพิกล แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้องตรงที่ใด บางทีอาจเพราะพิษที่แผลออกฤทธิ์ ทำให้สติเปลี่ยนไปพร่าเลือนมากขึ้น
นางไม่กลัวพิษ แต่ก็เข้าใจว่าจำเป็นต้องหาสถานที่ปลอดภัยเด็ดขาดที่หนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อปรับลมปราณสงบจิตใจ ใช้พลังวัตรของนางขับพิษเองอย่างช้าๆ เพียงแต่อันตรายตรงหน้ารุกประชิดเข้ามาใกล้ นางไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บอย่างสงบเงียบได้ดั่งที่ตั้งใจ
พูดตามจริง นางอยากจะละทิ้งทุกอย่างโดยไม่ห่วงกังวลสิ่งใดมากนัก ไม่ต้องยืนหยัดอีก อยากทำเช่นนั้นมาก อยากเหลือเกิน…
ฉับพลันนั้นก็มีคนเคลื่อนย้ายร่างกายนาง นางพลันรู้สึกเย็นวาบในอก สติสัมปชัญญะที่ล่องลอยไปไกลถูกดึงกลับมา แต่ความตั้งมั่นกระแสนั้นคล้ายใยแมงมุมที่พลิ้วไหวในฤดูใบไม้ผลิ ลอยละล่อง ยากยึดกุมไว้
ด้วยเหตุนี้นางจึงดึงรั้งสติแจ่มชัดหนึ่งเดียวที่สามารถดับวูบไปได้ทุกเมื่อนี้ไว้แน่น นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีในการฟัง แหวกว่ายอยู่ในความว่างเปล่าอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้
มีเสียงหลายเสียงมาก มากมาย มากมายเหลือเกิน…
เสียงฝีเท้าขึ้นบันได เสียงสุนัขเห่า เสียงประตูกระแทกเปิดปิด ตามด้วยคนจำนวนไม่น้อยบุกเข้ามา…
นางพลันสังเกตว่าเสียงเอะอะวุ่นวายเหล่านี้คล้ายเคยหายไป
หายไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็ดังระเบิดขึ้นอีกหน
ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่นางถูกผ้าโปร่งนับชั้นไม่ถ้วนคลุมทับ ตอนที่บุรุษประหลาดผู้นั้นพูดคุยกับนาง รอบด้านนั้นเงียบสงัด ดูคล้ายทุกสรรพสิ่งเคยเงียบสนิทไปในตอนนั้น…
แต่…อาจเป็นได้ว่าเพราะนางบาดเจ็บสาหัสเกินไป พิษแผ่ขยายไปทั่วร่าง กัดกลืนประสาทสัมผัสทั้งห้าอันเฉียบไวที่นางฝึกฝนมาจนมีสภาพน่าอนาถเหลือทน ทำให้นางรู้สึกราวกับลอยคอผลุบโผล่อยู่กลางความจริงความเท็จ ความปลอมความแท้
เสียงเหล่านั้นอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ทั้งเสมือนกั้นด้วยผนังอีกชั้น ส่งเสียงอึกทึกอยู่อีกด้านของผนัง
“นายท่านทั้งหลาย นายท่านคนดีทั้งหลาย ระวังคบเพลิงในมือ อย่าแกว่งแรงเพียงนั้น ระวังด้วย! โอ๊ยๆ ข้าเฟิ่งหมิงชุนวันนี้ขอสาบานต่อเทวดาฟ้าดิน สำนักชิงเยี่ยนของพวกเราอะไรก็กล้าซ่อน ทว่าไม่มีความกล้าหาญพอจะซุกซ่อนคนมีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายท่านทั้งหลายต้องการไล่จับฆาตกรฆ่าคน? ซ้ำทะ…ที่คนผู้นั้นฆ่ายังเป็นถึงคุณชายใหญ่สายตรงของจวนจงหย่งกง ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก นึกไม่ถึงจะมีคนสารเลวบุกจวนจงหย่งกงกลางดึกไปบั่นคอคุณชายใหญ่ เรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้จะเป็นคนในหอของพวกเราได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ นี่ ท่านทั้งหลายว่าใช่หรือไม่เล่า”
“พูดให้น้อยหน่อย! สุนัขดุร้ายสองสามตัวนี้พุ่งมาที่นี่ จมูกพวกมันเฉียบไวกว่าอะไร สำนักชิงเยี่ยนต้องมีปัญหาแน่!” หัวหน้าที่นำคนบุกเข้ามาชี้ขาดอย่างโหดเหี้ยม
“โอ้ สวรรค์! หอซือเฟยนี้เป็นที่พักของคุณชายฉินชิวของเรา เขาอยู่ดูแลแขกสำคัญยุ่งง่วนถึงค่อนคืนเพิ่งจะขึ้นมาเตรียมพักผ่อน บนนี้มีเขาแค่ผู้เดียว ยังจะมีใครได้อีก”
“ใครต้องการจะฟังแม่เล้าหรือพ่อเล้าอย่างเจ้าพูดเรื่อยเปื่อยเป็นวรรคเป็นเวรที่นี่กัน พวกเรา…ค้น!”
“เอ่อ…ครูฝึกหลี่ สุนัขของพวกเรา…สุนัขของพวกเราไม่ขยับทั้งหมดเลยขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาของครูฝึกหลี่ตะลึงระคนฉงนสงสัย