คนที่ซ่อนตัวอยู่ไม่รู้ว่าเรือนกายที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบในที่ลับของตนเองพลอยสั่นเทาโดยพลันตามเสียงร้องโวยวายอย่างปวดร้าวของเฟิ่งหมิงชุน
ถึงขีดจำกัดแล้ว
ยิ่งนางต้องการดึงรั้งความคิดจิตใจไม่ยอมปล่อย กระแสคลื่นขุ่นมัวก็ยิ่งสาดซัดเข้ามาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ในที่สุด ประสาททั้งห้าก็ทอดทิ้งนางไปโดยสมบูรณ์ นางถูกลากลงสู่ห้วงลึก สติรับรู้ปลิดปลิวไปไกล และจมดิ่งสู่ความว่างเปล่า
“อาจารย์…อาจารย์…”
“เอ๋? ทำอย่างไรดี ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าน่ะสิ” เสียงถอนใจของบุรุษแฝงรอยขัน
“ศิษย์น้อง…ศิษย์น้อง…”
เสียงใสสุภาพของบุรุษสูงขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างสนอกสนใจ “ที่แท้เจ้ามีศิษย์น้อง อืม กระทั่งนอนหลับยังพึมพำถึงอีกฝ่าย ดูท่าพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องความสัมพันธ์ดียิ่งใช่หรือไม่”
เสียงตอบรับที่บุรุษได้รับคือเสียงครวญต่ำที่ไม่ปะติดปะต่อกัน พูดว่าเป็นเสียงตอบรับยังไม่สู้พูดว่านางกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดทางร่างกายอยู่
“ข้ารู้ว่านี่จะเจ็บมาก ซ้ำยังจัดการยากยิ่งยวด แต่ไม่เร่งมือแก้ไขไม่ได้ ช้าไปอีกนิด เกรงว่าพิษจะแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เลือด และลมปราณ ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป ถ้าเจ็บจนทนไม่ได้ อย่าอดกลั้น อยากร้องไห้ก็ร้อง ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้า”
นางจะร้องไห้ที่ใดกัน!
แล้วนางก็ไม่เจ็บด้วย!
นางนึกว่าตนเองกำลังโต้แย้งเสียงแข็ง ไหนเลยจะรู้ว่าที่เปล่งออกจากริมฝีปากมีแต่ประโยคขาดห้วง
ประสาทสัมผัสทั้งห้ากลับมาอีกครั้ง สติรับรู้ป่วนปั่น รู้สึกว่ามีคนถอดอาภรณ์นางออก นางโดนจับให้อยู่ในท่านอนคว่ำ ด้านล่างคือผ้าปูหนานุ่มหนึ่งชั้น ส่งกลิ่นจันทน์หอมปะปนกับกลิ่นหญ้าลิ่น แห้งออกมาจางๆ หอมมากเหลือเกิน
…เป็นอาจารย์กระมัง
มีเพียงอาจารย์ที่อาจดูแลนางเช่นนี้ ทั้งยังปลอบประโลมเบาๆ ต้องเป็นอาจารย์แน่
ต่อให้…ต่อให้ในส่วนลึกของใจอาจารย์ ผู้ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดคือศิษย์น้องเสมอ นั่นก็หาได้มีอะไรผิดพอให้วิจารณ์ ศิษย์น้องเป็นสายเลือดหนึ่งเดียวบนโลกนี้ของอาจารย์ กล่าวถึงความใกล้ชิดทางสายเลือด นางย่อมเทียบศิษย์น้องไม่ได้ แต่อาจารย์ยังคงปฏิบัติกับนาง…ดีทีเดียว
“อา…อาจารย์…” ซีกหน้าข้างหนึ่งฟุบลงเสียดสีไปกับหมอนนุ่ม
“เป็นอาจารย์เจ้าสั่งให้แฝงตัวเข้าจวนจงหย่งกงฆ่าคนอย่างนั้นหรือ อีกทั้งคนที่ฆ่ายังเป็นหลานหัวแก้วหัวแหวนของจงหย่งกง เฮ้อ…นี่เป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตโดยแท้” เขาถอนใจแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสารเห็นใจ “จงหย่งกงตู้เอ้าหรานอายุยี่สิบก็นามกระเดื่องไปทั้งชายแดนเหนือ บัดนี้อายุเจ็ดสิบแปด ความดีความชอบในการศึกเกินค่อนชีวิตนำมาซึ่งบำเหน็จรางวัลเหลือคณาและความเคารพยกย่องจากทั้งราชสำนัก ว่ากันว่าเขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักพรตหลิงเจินแห่งเขาอวิ๋นเหยา หลิงเจินเคยตอบรับคำขอเขา ตั้งค่ายกลสร้างกลไกตามหลักอินหยาง ห้าธาตุในจวนจงหย่งกง อาจารย์บอกให้เจ้าไปบุก เจ้าก็บุกเข้าไปจริงๆ และยังฝ่าออกมาอีก ทว่าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เขาหักใจยอมรับได้จริงๆ หรือ”
“ไม่ใช่อาจารย์ เป็นข้าเองจะไป…ข้าจำเป็นต้องไป…”
“อย่างนั้นรึ เพราะเหตุใดกัน”
นิ้วมืออุ่นร้อนไล่ผ่านแผ่นหลังของนาง สัมผัสผิวเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ ชวนให้นางสั่นสะท้าน พาให้นางยิ่งรู้ชัดถึงจุดที่เจ็บบนแผ่นหลัง รับรู้ว่ามีเข็มยาวเจ็ดเล่มปักอยู่บนแผ่นหลังนาง
ในจวนจงหย่งกงมีกลไกซ่อนอยู่ติดกัน เพียงแตะถูกนิดเดียวก็จะทำงานทั้งหมด หากนางไม่ดึงดันจะให้ฝ่ายตรงข้ามได้ลิ้มรสความทรมานมากหน่อย ความจริงนางก็สามารถหลบได้ทันเวลา
“คนผู้นั้น…เลวร้ายมาก…จะให้เขาสมประสงค์เกินไปไม่ได้ ต้องค่อยๆ สังหาร ค่อยๆ…จึงจะดี…จึงจะดี…” หลังหอบหายใจเล็กน้อย นางก็เบ้ปากพลางอธิบาย
บุรุษอุทานเบาคำหนึ่ง “คุณชายจวนจงหย่งกงชั่วร้ายเพียงนั้นจริงหรือ”
“อืม…”
“ชั่วร้ายถึงขั้นที่เพื่อตัดมือตัดเท้าสังหารเขา ร่างกายเจ้าโดนกลไก ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ นี้ก็ยังคุ้มค่า?”
“คุ้ม…”
“เอาล่ะ ดึงออกได้เสียที”
นางได้ยินบุรุษพรูลมหายใจสายหนึ่ง ไม่ทันแยกออกว่าคืออะไร กระดูกสะบักซ้ายก็ปวดแปลบกะทันหัน