บทที่สาม คนงามเข้าฝัน
ตอนอูลั่วซิงไปจากสำนักชิงเยี่ยน มิได้กล่าวอำลาผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟย
เขาซ่อนนาง ช่วยนางรักษาแผล ป้อนยานาง ทั้งยังวางอาหารทั้งหมดตรงหน้านาง…อูลั่วซิงจดจำได้ว่าตนเองก็เคยกระทำเรื่องประเภทนี้ ตอนยังเล็กนางเคยเก็บสุนัขเร่ร่อนที่ล้มขาหักตัวจับแข็งลมหายใจรวยรินตัวหนึ่งได้กลางหิมะ นางช่วยมันรักษาขา ทำรังให้มันอย่างทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ป้อนอาหารเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน
ยามนี้นางราวกับเป็นสุนัขเร่ร่อนตัวนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาเก็บได้ ทั้งที่สถานที่ของเขาโดนทำลายจนเละเทะเหลือทน เขายังคงเบิกบานใจ เครื่องหน้าหล่อสง่าทั้งห้ามองไม่ออกถึงแววหงุดหงิดรำคาญเลยสักเสี้ยว ใบหน้าขาวบริสุทธิ์ปราศจากสีสันแห่งความกลัว ทว่ากลับเผยสีอ่อนจางของความกระดากอายให้แก่นาง
ได้รับการเลี้ยงดูจากคนผู้หนึ่งเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง สำหรับนางเป็นความเพ้อฝันที่ฟุ้งเฟ้อ นางไม่มีเรี่ยวแรงไปเอาใจใครหรือเลี้ยงดูใคร
ปีนั้นนางช่วยสุนัขต้าหวงกลับไป แต่วันหนึ่งหลังจากนางจบการฝึกใต้น้ำตก กลับไปที่เรือนไผ่ซึ่งพักร่วมกับอาจารย์และศิษย์น้อง อาจารย์ก็บอกนางว่าต้าหวงวิ่งหนีไปเองแล้ว หนีไปไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใด
นางไม่ได้ไปตามต้าหวง บางทีอาจเพราะในใจมีคำตอบของเรื่องนี้ปรากฏอยู่เลือนราง
ศิษย์น้องอ่อนแออมโรค ขนสุนัขกระตุ้นให้ศิษย์น้องมีอาการหอบได้ง่าย ขณะที่ต้าหวงซึ่งขาหายสนิทดีแล้วดันชอบพุ่งกระโจนใส่คน…
ภายหลังนางจึงเข้าใจ ทุกเรื่องต้องรู้จักและเข้าใจสถานภาพของตนจึงจะใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสุนัข ไม่ว่าชีวิตจะพบเจออุปสรรคอะไร ตลอดกาลล้วนต้องรู้จักถอยกลับมายังตำแหน่งเดิม
ดังนั้นนางจึงกินอาหารที่บุรุษผู้นั้นให้อย่างตั้งใจ มองเขาประทินโฉมแต่งตัวโดยไม่ปริปากสักคำ
เขาราวกับไม่ถือสาที่ถูกนางจ้องเขม็งเช่นกัน หลายครั้งที่ประสานสายตากันในคันฉ่องสำริดใหญ่ที่ถูกขัดจนมันวาว เขายังจะระบายยิ้มให้นาง นัยน์ตาพราวแพรวดุจคลื่นน้ำกระเพื่อมไหว
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดที่ถ่ายทอดสีสันสดใสเพริศแพร้วของฤดูใบไม้ผลิออกมาอย่างเต็มที่ แดงเหลืองม่วงขาวสีเข้มสีอ่อนตัดกันไปมา สายคาดเอวสีสดรัดให้เห็นเส้นโค้งงดงามของช่วงเอว เนื้อผ้าที่อวดโอ่หาใดเปรียบ กอปรด้วยการตัดเย็บหลวมสลับกระชับอย่างมีเสน่ห์ เขาสวมมันออกมาได้อย่างสง่างามมีเอกลักษณ์ของตนเอง
เขาหวีผมจนทั้งดำขลับและมันเลื่อม รวบเป็นช่อใหญ่ปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ผ้าผูกผมแพรไหมกับสายคาดเอวเป็นสีเดียวกัน เขาจงใจให้ปลายผ้าผูกผมยาวสองสายนั้นให้ลอยล่องไปตามเรือนผมสีดำ ขับเน้นเครื่องหน้าทำให้ความหล่อเหลายิ่งเพิ่มความสำอางขึ้นมา
สีของท้องฟ้าด้านนอกดุจอาบย้อมด้วยผืนแพรพรรณสีส้มแดง ภายในสำนักชิงเยี่ยนเริ่มจุดโคมส่องสว่าง
เฟิ่งหมิงชุนขึ้นหอมาเคาะประตูอีกครั้ง เขาไม่รีบร้อนไปตอบรับ กลับเดินมาเบื้องหน้านาง เรียวคิ้วดวงตาอ่อนโยนยิ่ง
‘กลับห้องลับด้านในไปก่อนเถิด แม่นางอูต้องการนอนหลับอย่างดีอีกตื่น ว่าง่ายๆ นะ’ กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป
อูลั่วซิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงกระทำเช่นนั้น พลันคว้าแขนเสื้อกว้างข้างหนึ่งของเขาเอาไว้
นางนั่งโดยแผ่นหลังชิดกับผนัง เงยหน้าแหงนมอง เขาสวมชุดฉูดฉาดและสายคาดเอวสีสดยืนตัวตรงตระหง่าน เหลียวหลังมาหลุบตามองนาง
‘แม่นางอูอยากพูดอะไรหรือ’ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
นางถึงกับตอบไม่ได้
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยากเอ่ยอะไร อยากทำอะไร ที่จับเขานั้นนางทำไปตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริง
‘แม่นางอูไม่อยากให้ข้าไป…ใช่หรือไม่’ เขาเอียงหน้านิดๆ ส่วนลึกของนัยน์ตาแฝงรอยยิ้มและเจือแววครุ่นคิด
นางเผยอกลีบปาก พยายามครั้งหนึ่งและอีกครั้ง ในที่สุดก็บีบเค้นเสียงให้หลุดลอดออกมาอย่างยากลำบาก…