ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปีศาจเย้ารัก บทที่ 3-บทที่ 4
ตอนที่เฟิ่งหมิงชุนโบกผ้าเช็ดหน้าด้วยใบหน้าปวดเศียรเวียนเกล้าระคนลำบากใจ บอกเขาว่าบุรุษฉกรรจ์ล่ำสันที่เรียกตนเองว่า ‘เหยียนต้า’ คนนั้นบุกเข้ามาในสำนักชิงเยี่ยนอย่างป่าเถื่อน พร้อมกับกำราบมือต่อยตีเจ็ดแปดคนในสำนักลงกับพื้น โวยวายจะให้เขามารับรองนั้น ฉินชิวก็เดาได้ว่าคืนนี้จะ ‘ครึกครื้นไม่เบา’ ทั้งยัง ‘น่าสนุกอย่างมาก’
ทว่าที่เขานึกไม่ถึงก็คือหลังเชิญแขกเข้ามาในหอซือเฟย ฝ่ายตรงข้ามสุดท้ายกลับใช้วิธีการเช่นนี้
เขาถูกเหยียนต้าจี้สกัดจุดสองสามแห่งคุมตัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตามด้วยแบกขึ้นหลังลักพาตัวมา
ดี ดียิ่ง ดีเยี่ยม…อืม ในความเป็นจริงนั้นดีจนไม่รู้จะดีกว่านี้ได้อย่างไรอีก เรื่องหลายอย่างอยู่ในหอซือเฟยไม่สะดวกปลดปล่อยมือเท้าจัดการตามใจได้จริงๆ มิหนำซ้ำเถ้าแก่ชุนของเขายังเป็นพวกชอบแอบฟัง หากได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน รู้สิ่งที่ไม่ควรรู้เข้า ทำให้เถ้าแก่ชุนตกใจเสียขวัญเกินควรจะเป็นความผิดบาปได้
ถือโอกาสถูกลักพาตัวไปนั้นดีทีเดียว ป่าเขารกร้างห่างไกลผู้คน เป็น ‘สถานที่วิเศษ’ โดยแท้
อีกด้านหนึ่ง ในร่างกายของเหยียนต้ากำลังร้อนจนทรมาน ต่อให้กำลังภายในเขาดีเพียงไร ใช้วิชาตัวเบาวิ่งทะยานระยะทางไกลหลายหลี่ ยามนี้ก็ถึงขีดจำกัดเช่นกัน
ครั้นเมื่อลงพื้นเขาเซถลาเล็กน้อย ร่างหอมกรุ่นที่แบกบนบ่าพลันไถลลงมา เขาปล่อยให้คนรูปงามร่วงหล่น ตกลงบนพื้นหญ้าป่าลึกที่มีใบไม้แห้งทับถมเป็นชั้นหนา
ภายในป่ามืดทะมึน ใบไม้กับกิ่งไม้แทบปิดบังท้องนภาจนมิด เหลือเพียงวงแสงสีเงินยวงวงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ลงมา
เหยียนต้าคุกเข่าข้างหนึ่ง ลมหายใจสับสนยิ่ง พอช้อนตาขึ้นมองพลันเห็นคนงามที่นอนราบอยู่ท่ามกลางแสงสีเงินดวงนั้นพอดี ดวงตายาวมีชีวิตชีวาคาดเดายากทั้งยังเจ้าเล่ห์กะพริบเบาๆ ให้เขา คล้าย…คล้ายกำลังเยาะหยันเขา ด้วยรู้ภูมิหลังเขาอย่างลึกซึ้ง จึงหัวเราะเย้ยเยาะเห็นเป็นตัวตลก
คุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยนผู้นี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายอย่างเด็ดขาด!
“เจ้า…คืนนั้นเจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่” เหยียนต้าเอ่ยถามอย่างเหี้ยมเกรียม ทันใดนั้นก็เห็นคนงามลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขาถลึงตาโตอย่างกับลูกกระดิ่งสำริดพลางเอ่ย “เป็น…เป็นไปได้อย่างไร วิธีสกัดจุดที่สำนักข้าคิดขึ้นมาเองจะใช้ไม่ได้ผลได้อย่างไร ทั้งที่เจ้าถูกสกัดจุดแล้ว ขยับตัวไม่ได้ กลับ…เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดกัน”
ฉินชิวยกแขนเสื้อขึ้นโบกแผ่วเบา แสดงท่าทีว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ควรค่าแก่การอธิบาย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเชื่องช้า “ใต้เท้าเรียกตนเองว่า ‘เหยียนต้า’ ข้ามองว่าไม่ใช่ เจ้าคือเหยียนจี้เหยี่ยอยู่ในลำดับที่สี่ของพี่น้องร่วมสำนัก หาใช่พี่ใหญ่ไม่ แต่จะว่าไป ท้ายที่สุดเจ้าก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เจ้าสำนักถือว่าเป็นฐานะสูงสุดในสำนัก หากจะชื่อ ‘เหยียนต้า’ ก็ยังพอถูไถใช้ได้ วิชาสกัดจุดนี้บรรพบุรุษสำนักเทียนกังของเจ้าเป็นผู้คิดค้น เจ้าสำนักเหยียนใช้การได้ยอดเยี่ยม เพียงแต่ใช้กับคนลักษณะร่างกายเช่นข้านี้บางทีก็อาจไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
เมื่อถูกเปิดโปงฐานะออกมาเช่นนี้ เหยียนจี้เหยี่ยมีท่าทีอึ้งตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นแววตาก็ปรากฏไอสังหาร เหตุผลที่ยังรีรอไม่เคลื่อนไหวชั่วคราวนั่นเป็นเพราะในใจมีข้อสงสัยมากมายที่ยังรอคำตอบ
ฉินชิวรวบผมสีดำสยายทั้งหมดไว้หลังบ่า ไม่คิดยั่วให้เขาอยากรู้มากนักก็เอ่ยต่ออีกว่า “เจ้าสำนักเหยียนถามข้าว่าคืนนั้นข้าทำอะไรกับเจ้ากันแน่ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น กลับเป็นใต้เท้าทำเองมากทีเดียว” แสงจันทร์อาบไล้มุมปากที่หยักยกน้อยๆ ของเขา “เจ้าสำนักเหยียนมาเยือนสำนักชิงเยี่ยน ครั้งแรกก็ร้องขอชายบำเรอสามคนเข้าไปปรนนิบัติในห้อง ทรมานชายบำเรอที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่สามคนจนหมดสภาพ ช่างองอาจน่าครั่นคร้ามโดยแท้ ทว่าในใจเจ้ายังไม่รู้สึกเต็มอิ่มกระมัง ยังรู้สึกไม่สบายตัว? ไม่ถึงใจ? ไม่สาสมใจ? รู้สึกจะใช่ก็ไม่ใช่?”
“พูดอะไรของเจ้า!” เหยียนจี้เหยี่ยกัดฟันพลางตะคอกด้วยโทสะ
ฉินชิวงอนิ้วลูบไล้คางมน “เจ้าเข้าใจดี ต่อให้เมื่อก่อนไม่เข้าใจ หลังผ่านการอยู่ร่วมกันของพวกเราสองคนคืนนั้น เจ้าสำนักเหยียนเองก็ควรจะค้นพบความปรารถนาลึกๆ ของตนเอง เข้าใจการมีอยู่ของความชื่นชอบของตนเองได้”
“จะ…เจ้า…คืนนั้นข้าจับเจ้า…ทั้งที่ข้ากดเจ้าไว้ใต้ร่าง จากนั้น…จากนั้น…” เหยียนจี้เหยี่ยใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงจนราวกับกระแทกกระดูกหน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า คำพูดที่จ่ออยู่ตรงปลายลิ้นพลันไม่กล้าเอ่ยออกมา
ดังนั้นฉินชิวจึงช่วยเขาพูดต่อด้วยความ ‘หวังดีเป็นอย่างมาก’
“จากนั้นเจ้าก็เห็นว่าคนใต้ร่างมิใช่ข้า แต่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า หลูหยวนอี้ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นอาจารย์ลุงของสำนักเทียนกัง…หึ หลังจากเจ้ากับเขาคว่ำเมฆาพลิกพิรุณ ร่วมอภิรมย์หลงหยางกัน ยังรู้สึกไม่หนำใจ ก่อนจะพบว่าคนในอ้อมอกเปลี่ยนไปเป็นศิษย์น้องรุ่นเยาว์ในสำนัก เจ้าแสนจะประหลาดใจ ทว่าก็ตกใจระคนยินดีหาใดเปรียบ ไฟราคะแผดเผาร้อนแรงไม่อาจหยุดยั้ง เจ้าใช้กำลังกำราบเรือนร่างอ่อนเยาว์ผอมบางของเขา เหมือนที่เจ้าปฏิบัติกับชายบำเรอสามคนของสำนักข้าเช่นนั้น เสพสังวาสอย่างเหี้ยมโหดเอาเป็นเอาตาย”
“หยุดปาก! หยุดปากเดี๋ยว…”
“จิตใจมนุษย์เปราะบาง ไม่อาจต้านทานบททดสอบ ความรู้สึกและแรงปรารถนาเดิมก็ยากจะควบคุม เจ้าสำนักเหยียนมากรัก จึงบังเกิดแรงปรารถนาขึ้นพร้อมกัน น่าเสียดายด้วยทนฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ แยกแยะความต้องการที่แท้จริงไม่ออก เช่นนี้มีเพียงจะทุกข์ทรมานชั่วชีวิต ข้านั้นกำลังช่วยเจ้า เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ”
ฉินชิวเลิกคิ้วตาขึ้น สีหน้านั้นแสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อย เป็นสีหน้าที่จะพึงมีได้เมื่อผู้เป็นชายบำเรอลงมือปรนนิบัติแขก