“คืนนั้นเจ้าเข้ามาในหอซือเฟยของข้า ข้ามองดูอยู่ด้านข้าง เห็นเจ้าดื่มด่ำลึกซึ้งเพียงนั้น ประเดี๋ยวกับศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอง อีกประเดี๋ยวกับศิษย์น้องรุ่นเยาว์ของตน…เจ้าสำนักเหยียนระยะนี้เห็นพวกเขาสองคน แน่นอนว่าย่อมต้องจุดตันเถียน แผ่ขยาย จุดชี่ไห่ ปั่นป่วน เจ้าสิ่งนั้นตรงหว่างขาผงาดค้ำฟ้าไม่พอ ยังเหิมฮึกเนิ่นนานอย่างไรก็ระบายธาตุไฟไม่ออกอีกด้วยกระมัง”
เหยียนจี้เหยี่ยได้ฟังคำกล่าวนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นการใหญ่ เจ็บปวดไปทั่วร่างดุจถูกมดรุมกัด
เนื่องจากถูกกระตุ้นความรู้สึกประหลาดนั้นขึ้นมากะทันหัน ยังผลให้เขาประหนึ่งมีน้ำแข็งกับถ่านร้อนอยู่ในลำไส้ ไฟพิษในร่างกายยิ่งลุกโชติช่วง ทั่วร่างตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ตั้งแต่กายเนื้อจนถึงสติรับรู้ต่างผิดแปลกไปหมด
ริมหูเขามีเสียงดังอื้ออึงอึกทึก น้ำเสียงที่มองกระจ่างทุกสิ่งทุกอย่างยังคงแทรกเข้ามาในหัวสมองเขาอย่างไร้สิ่งกีดขวาง กึ่งสงสาร…กึ่งเย้ยหยัน…
“หากต้องการสงบเพลิงร้อนแรงในร่างกาย มีเพียงหนทางเดียว เจ้าสำนักเหยียนมากด้วยประสบการณ์ความรู้เพียงนี้ ยังเดาไม่ออกอีกกระนั้นหรือ”
เหยียนจี้เหยี่ยถลึงตาสองข้างจนเลือดแทบกระเด็น ไฟปรารถนาที่โหมลุกขึ้นจากจุดตันเถียนและนานติดต่อกันหลายวันนั้นยิ่งเคี่ยวกรำจนเขาหน้ามืดหัวหมุน หากมิใช่เพราะกำลังภายในกล้าแข็ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะธาตุไฟเข้าแทรกเข้าสู่ทางมารไปแล้ว
“คุณชายอันดับหนึ่งอะไร เจ้ามัน…มันตัวสารเลว! เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไรข้า!”
ฉินชิวส่ายหน้า “เดิมก็ไม่คิดทำอะไร แต่เจ้าด่าคนนั้นไม่ถูกต้องแล้ว” ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์พลันผุดกลิ่นอายชั่วร้ายดั่งปีศาจ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มราวกับกำลังกระหายเลือด
“ตัวบัดซบ!” เหยียนจี้เหยี่ยคำรามขึ้นพลางพุ่งถลาเข้ามา “พูดไม่จบไม่สิ้นใช่หรือไม่ บิดาจะใช้เจ้าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยรองท้อง ใช้เจ้าระบายธาตุไฟ…”
เขาผลักคนล้มลงทันที น้ำหนักของบุรุษตัวโตสองคนกดทับใบไม้แห้งเบื้องล่างจนดังกรอบแกรบ เสียงนั้นเมื่อเข้าหูเขาทำให้คนฮึกเหิมยากทานทนอย่างแท้จริง การจับกุม ‘เหยื่อ’ มาย่ำยีตามใจชอบ บีบบังคับให้เสพสมในที่แจ้ง เทียบกับการปิดบังฐานะไปเที่ยวสำนักชายบำเรอยังเร้าใจน่าสนุกยิ่งกว่ามาก
เขาต้องการบดขยี้คนใต้ร่าง ต้องการปู้ยี่ปู้ยำอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว
เขาต้องการให้ตัวสารเลวตรงหน้าร้องไห้อ้อนวอนเขา
“อึก…อึก…อึก…” ตอนนิ้วมือทั้งห้าที่ทำท่าตะปบกำลังจะสัมผัสลำคอฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นเขาก็สะท้านเฮือก เหยียนจี้เหยี่ยบีบคออีกฝ่ายไม่ได้ ทว่าตรงข้ามลำคอตนเองกลับคล้ายถูกลมปราณไร้รูปบีบรัด
สองตาเขาถลึงโปน ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดนูนสีเขียว มือทั้งสองยกขึ้นมาตรงลำคอหมายดึงกระชากแรงไร้รูปขุมนั้นออก ทว่ากลับไร้ผลและเสียแรงเปล่า “จะ…เจ้าเป็น…เป็นใคร…กันแน่” ปีกจมูกยุบพอง เริ่มหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น
“เจ้าสำนักเหยียนจำข้าไม่ได้ก็สมควร นับคำนวณโดยละเอียด ผ่านไปสิบห้าปีได้แล้วกระมัง” ฉินชิวเอ่ยยิ้มๆ “ปีนั้นข้าอายุสิบปี คาดว่าเจ้าสำนักเหยียนก็เพิ่งอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ยังต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนกัง เจ้าจำข้าไม่ได้ ข้ากลับจดจำคนในสำนักเทียนกังที่อยู่ตรงนั้นวันนั้นได้อย่างชัดเจนแม่นยำทุกคน”
“วะ…วันนั้น?”
“อืม วันนั้น” ฉินชิวก้มหน้าเอ่ย “สิบกว่าสำนักและพรรคที่อ้างตนเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะในยุทธภพส่งยอดฝีมือออกมา บังคับให้พ่อข้าหย่าภรรยา ฆ่าภรรยาไม่สำเร็จ ก็ไล่ฆ่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปจนถึงหน้าผาเหนือยอดภูเขาหิมะ บีบคั้นจนพวกเขาหมดสิ้นหนทาง มีเพียงกระโดดลงจากหน้าผาสูงหมื่นจั้ง* จึงจะมีโอกาสรอดชีวิตหนึ่งในพันส่วน” เขาเงียบไปชั่วครู่ มุมปากยังคงหยักยิ้มจางๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “วันนั้นข้าเกาะอยู่บนหลังท่านแม่ มองพวกเจ้าแต่ละคนอย่างชัดเจน จดจำไว้ในนี้ทั้งหมดราวกับประทับตราเลยทีเดียว” นิ้วมือยาวเคาะที่ชายหน้าผากพร้อมกล่าวเน้นหนักอย่างชัดถ้อยชัดคำยิ่ง
เหยียนจี้เหยี่ยตัวสั่นงันงกราวกับตระหนักได้ในบัดดล ลำคอส่งเสียงตะโกนแหบแห้งไร้ความหมาย “อื้อ! อื้อ!” ตาขาวปรากฏเส้นเลือด
“ยอดมาก ดูท่าใต้เท้าคงจำได้แล้ว” ฉินชิวเลิกคิ้วน้อยๆ
“ชิว…ชิว…ถาน ถาน…”
“อืม ใช่เลย นั่นคือแซ่ของท่านพ่อท่านแม่ข้า ไม่ผิด คือพวกเขาสองคน”
เหยียนจี้เหยี่ยเปล่งเสียงออกมาอีกอย่างยากลำบากสุดขีด “ไม่ใช่…อาจารย์ข้า…สำนักเทียนกังของพวกเรา…ไม่ได้ลงมือ…ไม่ได้…เพียง…เพียงแค่…”