“เจ้าอยากพูดว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกเจ้าฟังคำสั่งของอาจารย์ แค่ติดตามคนทั้งหมดไล่ล่า บางครั้งก็ปิดกั้นทางถอยสองสามเส้น แค่ชมดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ พวกเจ้ากระทำเพียงเท่านั้น ไม่เคยลงมือสังหารจริงๆ เลยใช่หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดพลันอาบย้อมกลิ่นอายเย้ายวน ฉินชิวยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางฉีกริมฝีปากหรี่ดวงตานั้นดึงเอากลิ่นอายชั่วร้ายชวนให้คนดำดิ่งออกมา…
“หากมิได้เป็นเช่นนั้น ห้าปีก่อนข้าคงทำลายสำนักเทียนกังของเจ้าตั้งแต่เบื้องบนยันเบื้องล่างจนถึงที่สุดแล้ว จะเอาชีวิตอาจารย์เจ้าเพียงคนเดียวแล้วทิ้งลูกศิษย์ลูกหาอย่างพวกเจ้ากลุ่มนี้ไว้ได้เยี่ยงไร”
“อาจารย์…อาจารย์เขา…เจ้า เจ้า…” ดวงตาที่ถลนออกมายิ่งเบิ่งกว้าง ตกตะลึงจนลูกตาจวนเจียนจะกระเด็นออกมาอยู่รอมร่อ
ฉินชิวยังแย้มยิ้ม “อาจารย์เจ้าห้าปีก่อนพลัดตกทะเลสาบจมน้ำตาย พวกเจ้าทั้งหมดนึกว่าเป็นเพราะเขาดื่มสุรามากเกินไปแล้วเสียหลัก ทว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ สถานการณ์ของเขาเหมือนกับเจ้าในหอซือเฟยคืนนั้น ถูกวิชาสวมวิญญาณ เล่นสนุกในห้วงมายาของตนอย่างสุขสราญเต็มที่”
เมื่อเห็นเหยียนจี้เหยี่ยเดือดพล่านจนเครื่องหน้าทั้งห้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ลมหายใจหอบหนัก มีเสียงฮึดฮัดในลำคอ สีหน้าแทบอยากจะฉีกทึ้งเขากลืนลงท้องเสียบัดเดี๋ยวนั้น ฉินชิวก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างหยามหยัน
“เจ้าสำนักเหยียนคงนึกไม่ถึงเป็นแน่ว่าใต้ไฟปรารถนาอันร้อนแรงนั้น ในปากอาจารย์ผู้เคารพร้องเรียกชื่อคนผู้ใด หึ เจ้าย่อมคิดว่าเป็นอาจารย์หญิงของเจ้า แต่หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเบื่อเกินไปอย่างแท้จริง” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเป้าหมายที่อาจารย์ของเจ้าแอบนึกคิดว่ากำลังเริงรักด้วยนานปีคือผู้ใด”
เหยียนจี้เหยี่ยถูกถามจนอึ้งงันไป พร้อมเผยสีหน้าคิดไม่ตก
ท่าทางอยากล่วงรู้สุดแสนทว่าไม่กล้าเอ่ยชัดเจนนั้นสร้างความพึงพอใจให้ฉินชิวอย่างมาก ทำให้เขาเอ่ยออกมาอย่าง ‘หวังดี’ “อาจารย์เจ้าชมชอบอิสตรีจริงๆ หาได้เป็น ‘คนในเส้นทางเดียวกัน’ กับเจ้า คนที่เขาต้องใจแซ่ ‘จั๋ว’ นาม ‘อันหลิน’ หรือก็คือศิษย์น้องรองของเจ้า และยังเป็นภรรยาเอกที่แต่งงานกับเจ้ามานานปี”
“ไม่ พูดเหลวไหล นี่…เป็นไปไม่ได้!” เหยียนจี้เหยี่ยตวาดกร้าวอย่างดุดัน จุดชีพจรตรงขมับสั่นสะเทือนเหมือนถั่วที่กำลังถูกคั่วอยู่ในกระทะร้อน
ฉินชิวหัวเราะแผ่วเบา “ไยจึงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าสามารถลอบคิดไม่งามกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องรุ่นเยาว์ของตนเองได้ เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงไม่อาจแอบนึกคิดถึงลูกศิษย์สาวของตนเองเล่า”
เทียบกับพูดว่า ‘ถูกปลุกเรียกสติ’ มิสู้บอกว่า ‘โดนผลักลงสู่ห้วงลึก’ ยังจะดีกว่า เหยียนจี้เหยี่ยสีหน้าเปลี่ยนแปรไปมา ตื่นตะลึงหวาดผวา เคียดแค้นกังขา อับอายจนพานโกรธ ท้ายที่สุดก็กราดเกรี้ยวมิอาจระงับ
“เจ้ามันเดรัจฉาน! ข้า…ข้าจะฆ่าเจ้า อึกๆ…ฮึกๆ…” ปราณภายในสั้นและตื้น ตามด้วยไร้กำลัง พละกำลังของมือไร้รูปที่รัดตรงลำคอพลันเพิ่มแรงขึ้น บีบจนโคนลิ้นของเขาเจ็บจุก เลือดพุ่งขึ้นสู่หน้าผาก “เจ้า เจ้าคิด…คิด…ทำอะไรกันแน่…”
เหยียนจี้เหยี่ยไม่ได้ยินเสียงตนเอง กระนั้นกลับได้ยินเสียงที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดแจ้ง…
“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร เพียงอยากให้เจ้ากระทำเรื่องที่คิดไว้ในใจนับครั้งไม่ถ้วนออกมาจนหมดสิ้น และทำอย่างถึงที่สุด ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เติมโพรงว่างเปล่านั้นให้เต็ม เมื่อเติมเต็มแล้ว เจ้าก็จะสบายแล้ว จริงๆ นะ”
น้ำเสียงประหนึ่งครวญเพลงแผ่วต่ำ แต่ละเสียงแทรกซึมเข้าไปในสมอง ปักยึดในจิตใต้สำนึกดุจทอดสมอลงไปกระนั้น
“ครั้นเมื่อตื่นขึ้น เจ้าจะจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องจดจำอะไร ขอเพียงระลึกถึงสิ่งที่ตนเองอยากทำ ที่ควรทำ แค่เท่านี้ ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”
ตรงหน้าคือใบหน้าที่สติรับรู้ขุ่นมัว องคาพยพทั้งห้าถูกควบคุม หางตาชี้ขึ้น อ้าปากเอื้อนเอ่ยไม่ออก ปมขมวดที่หว่างคิ้วด้วยเพราะคำชี้แนะอย่างอ่อนโยนของเขาพลันค่อยๆ คลายออก ริมฝีปากหุบลงอย่างเชื่องช้า อีกทั้งมุมปากยังยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ด้วยเพราะฟังเข้าใจแล้ว กระจ่างชัดว่าถัดจากนี้ควรก้าวเดินอย่างไรต่อ ไม่มีความลังเลใจใดๆ อีก
ฉินชิวชอบเห็นสีหน้าเช่นนี้จริงๆ
นั่นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกควบคุมได้โดยง่าย ความรู้สึกและแรงปรารถนาแข็งแกร่งกว่าความตั้งมั่นตลอดกาล ขอเพียงผลักเรือตามน้ำ หรือไม่ก็ราดน้ำมันบนกองไฟ ไม่ต้องสิ้นเปลืองแม้แต่แรงเป่าฝุ่นก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำได้
รสชาติหอมหวานของการหยิบจับพวกคนที่มีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเหล่านี้มาดูเล่นในอุ้งมือ ช่างลิ้มลองร้อยครั้งไม่เบื่อหน่ายโดยแท้ เขาขอแค่เป็นผู้ชม รอคอยอย่างเงียบเชียบก็มักจะได้เห็นละครสนุกๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า
ขณะจะผลักคนซึ่งกึ่งกำลังกดทับตนเองอยู่ออก ลมราตรีก็พลันพัดเย็นยะเยือกขึ้นอย่างกะทันหัน แสงจันทร์ที่สาดส่องทะลุผ่านกิ่งใบต้นไม้ลงมาบนพื้นหญ้าก็วูบไหวเช่นกัน
มีคน?!