ตอนที่ในสมองฉินชิวเพิ่งจะตระหนักได้ถึงสถานการณ์นี้ คนผู้นั้นก็ประดุจพญาอินทรีสยายปีก โฉบพุ่งลงมาจากบนต้นไม้สูงลิ่ว
ผู้มาเยือนปฏิบัติการจู่โจมด้านหลังเหยียนจี้เหยี่ยอย่างรวดเร็วดั่งเหยี่ยวโจมตีกระต่าย คว้าจับบ่าทั้งสองข้างของเหยียนจี้เหยี่ยจากนั้นก็พลิกตัวเขาเหวี่ยงออกไป
บนตัวฉินชิวพลันเบาหวิว หน้าอกซ้ายเต้นไม่เป็นส่ำ
ดวงตาทั้งสองของเขา…มึนงง งงจนลืมว่าควรกะพริบตาอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงได้เพียงนิ่งงันไม่ไหวติง จับจ้องแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นตาไม่กะพริบ
หลังจากเหวี่ยงคนทิ้งไปแล้วนางก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นท่าทางอยู่ในสภาวะระวังภัย ก่อนจะเหลียวหน้ามาปราดมองด้านหลังวูบหนึ่งอย่างว่องไวยิ่ง และเอ่ยถามเสียงตึงเครียด
“ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
ฉินชิวตะลึงค้าง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งที่สอง…ที่นางคุ้มกันเขาไว้ด้านหลัง
และความรู้สึกที่ได้รับการคุ้มครองเช่นนี้แท้ที่จริงก็…ไม่เลวทีเดียว
อูลั่วซิงเห็นเขาคล้ายไม่เป็นอะไร จึงลุกขึ้นคิดจะไล่ตามเข้าไปในผืนป่าดำมืด เมื่อครู่ด้วยร้อนใจชั่วขณะ พอนางเหวี่ยง ‘จอมโจรเด็ดหญ้า’ ผู้นั้นลอยไป ร่างกายสูงใหญ่กำยำของอีกฝ่ายก็กระเด็นเข้าไปในป่าลึก หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีกเลย
อูลั่วซิงเพิ่งจะย่างเท้าออกไปก้าวเดียว จู่ๆ น่องข้างหนึ่งของนางก็ถูกกอดรัดไว้
นางมิอาจไม่หันหลังกลับไปมองบุรุษผู้หนึ่งที่เกาะอยู่แทบเท้านางพลางหายใจรวยริน “พาข้าไปด้วย…”
“ฉินชิว!” อูลั่วซิงสังเกตพบว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบย่อกายลงหมายจะดึงร่างเขาไว้ทว่าไม่ทันการณ์
สองตาของบุรุษรูปงามปิดสนิทลง และหมดสติไป
แสร้งเป็นลมไม่ง่ายดายเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อนางยังเป็นผู้รู้วรยุทธ์ เขาต้องกลั้นลมหายใจสนิทก่อนระยะหนึ่ง ผ่อนให้ใจเต้นช้าลง ค่อยเป็นค่อยไป…อย่างช้าๆ จากนั้นก็ค่อยยืดลมหายใจให้ยาวที่สุดเท่าที่ทำได้ กลับคืนสู่การหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบาอย่างมาก และสร้างสภาวะชีพจรอ่อนขึ้นมาทำให้คนเชื่อว่าเขากำลังเป็นลมจริงๆ
จริงดังคาด นางหาได้สงสัยเขา หลังจากยืนยันสภาพเขาอย่างรวดเร็วก็แบกเขาขึ้นหลังและพุ่งตรงออกไปจากป่าดำสนิทผืนนี้
เช่นนี้ยอดเยี่ยมนัก สมกับที่เขาวาดหวังไว้ในใจพอดี
ร่างกายเหยียนจี้เหยี่ยโดนวิชาสวมวิญญาณ ซ้ำยังถูกนางเหวี่ยงลอยไป ย่อมกำลังนอนรอให้ได้สติกลับมาอยู่ที่ใดสักแห่ง จะให้นางตามหาเจ้าสำนักเหยียนผู้นั้นเจอไม่ได้เด็ดขาด เพราะด้วยความเฉียบแหลมว่องไวของนางย่อมไม่ยากที่จะจับสังเกตถึงความผิดปกตินั้นได้
ทว่าย้อนกลับมาดูตัวเขา ในใจกลับรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง มีคนแบกอยู่เช่นนี้ บ่าและหลังของหญิงสาวเทียบกับเรือนกายที่แขนขาสูงเพรียวของเขา จึงแลดูแบบบางเป็นพิเศษ แต่ด้วยนางมีพละกำลังมากพอ มิหนำซ้ำทักษะฝีเท้ายังกล้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง จึงเหินทะยานโดยแบกเขาไปด้วยไหว ทั้งยังพุ่งตะบึงได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงอย่างที่สุด
ในความทรงจำของเขา นอกจากท่านพ่อท่านแม่ ไม่เคยมีผู้ใดแบกเขามาก่อน และไม่เคยมีผู้ใดที่ปกป้องเขาไว้เบื้องหลังตนเองเช่นนี้
หัวไหล่ของนางนุ่มนิ่ม เหมือนกับท่านแม่ของเขามาก เพียงแค่เล็กไปนิดหน่อย บางทีอาจเพราะเขาเติบโตมีรูปร่างเหมือนผู้ใหญ่แล้ว หัวไหล่ของสตรีเมื่อเอาศีรษะโตๆ ของเขาวางลงไป แน่นอนว่าต้องดูเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มลงมาก
ซอกคอกับใบหูของนางแผ่กลิ่นหอมของฝักเจ้าเจี่ยวปะปนกับกลิ่นกายสาวตามธรรมชาติ ติดจะสดชื่น และค่อนข้างอบอุ่น
เขาพบว่าการแกล้งสลบ แสร้งทำสงบนิ่ง กินแรงมากขึ้นไปทุกที
เคราะห์ดีที่วิ่งเต็มเหยียดมาไม่ถึงสองเค่อ เขาก็ถูก ‘ยกลง’ ยามนี้กำลังนอนราบอยู่บนเบาะนุ่มหนาที่ถักขึ้นมาจากต้นกอกก
แม้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่สองสามวันนี้กลับมีอากาศหนาวหลงฤดูอยู่บ้าง เตียงเตาใต้เบาะนุ่มช่วยให้อบอุ่นยิ่ง ทั่วห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมของชาอันเข้มข้น
อูลั่วซิงยื่นนิ้วมาหยั่งชีพจรตรงลำคอของเขาตามด้วยจับหน้าผากเขา ครั้นแน่ใจว่าลมหายใจเขาไม่มีปัญหา อุณหภูมิร่างปกติแล้ว จากนั้นก็จับเขายัดใส่ผ้าห่ม ยินยอมให้ศีรษะโผล่ออกมาด้านนอกได้เท่านั้น
เขาฟังความเคลื่อนไหวออก ในห้องนี้นอกจากพวกเขาสองคนยังมีคนอื่น ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว ทั้งหมดยืนนิ่งที่ข้างเตียงเตาพลางจ้องมองเขา
“เป็นคนที่พี่สาวรู้จักหรือ” ดรุณีน้อยเอ่ยด้วยเสียงอ่อนวัย ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง
“อื้อ” นี่เป็นเสียงเย็นชาเหมือนเช่นเคยของอูลั่วซิง
“เป็นคนที่พี่สาวชมชอบ?” เด็กสาวเอ่ยถามอีก
หัวใจฉินชิวพลันเต้นผิดจังหวะไปครั้งหนึ่งโดยแรง หวุดหวิดจะเสียแผนในที่นั้นเลยอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าจะรอคอยคำตอบของคำถามนี้เป็นอย่างมาก