แต่คนที่ถูกถามนิ่งเงียบไปหลายอึดใจมิได้เอ่ยตอบ ท้ายที่สุดกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา…
“ข้านำของมาแล้ว พวกเจ้าพี่น้องอยากตรวจสอบชัดแจ้งกับตาตนเองหรือไม่”
“อยาก!” เสียงตอบรับของเด็กสาวแฝงกลิ่นอายเหี้ยมโหด นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยอีกว่า “ดูที่นี่ไม่เป็นอันใดหรอก ท่านย่านอนหลับที่ห้องด้านในแล้ว หรือต่อให้ท่านย่าตื่นกะทันหันมายังห้องนี้ นางตาบอดทั้งสองข้าง ไม่มีทางมองเห็นแน่”
ถัดจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
ฉินชิวได้ยินเสียงดังกุกกักระลอกหนึ่ง คล้ายเป็นเสียงแก้ห่อสัมภาระหยิบของออกมา สุดท้ายเสียงตึงดังขึ้นเสียงหนึ่ง ของได้ถูกวางลงบนโต๊ะแล้ว
เป็นสิ่งของอะไรกันแน่นะ
เขาเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยลอบมองอย่างอดใจไม่ไหว
มองจากมุมที่เขานอนอยู่ ห่างจากเตียงเตาออกไปราวสามก้าวมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ อูลั่วซิงในชุดเรียบง่ายคล่องตัวนั่งอยู่ที่ม้านั่งยาวข้างโต๊ะ ผู้ที่นั่งตรงข้ามนางคือพี่น้องชายหญิงคู่หนึ่ง เด็กสาวแลดูอายุมากสุดไม่เกินสิบเอ็ดสิบสอง เด็กชายอายุน้อยกว่าอายุประมาณหกเจ็ดปี ยามนี้ร่างเล็กกำลังยืนชิดพี่สาวตัวน้อยไม่ยอมผละหนี ใบหน้าใต้แสงเทียนซีดเผือด ปากเม้มแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเล็กที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปที่ของบนโต๊ะอย่างเปี่ยมความกล้าหาญ
ความใจกล้าของเด็กชายนับว่าดีเยี่ยม เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลัวเลย อย่างไรเสียของที่วางบนโต๊ะก็คือศีรษะของคนผู้หนึ่ง ของแท้ไม่หลอกลวง ส่วนลำคอที่ขาดแปดส่วนได้ใช้ขี้เถ้าจากใบหญ้าจัดการมาก่อนจึงไม่มีเลือดสกปรกไหลซึมออกมาแล้ว
ส่วนพี่สาวตัวน้อย…อืม เบิกตาจ้องศีรษะคนเขม็งจนถึงขั้นฉีกปากยิ้ม นางเห็นภาพสยองขวัญไม่มีความตื่นตกใจแม้แต่น้อย เพราะไปมาหาสู่กับแม่นางนักฆ่าบางคนเป็นเวลานาน ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำอย่างแท้จริง
“เป็นเขาไม่ผิด” เด็กสาวยิ้มจนติดจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พี่ใหญ่ลงนามสัญญาห้าปีกับคนของจวนจงหย่งกง นางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนั้นไปเป็นสาวใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ข้าเคยพาน้องชายเข้าเมืองไปหานาง หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ท่านป้าอายุมากที่เฝ้าประตูหลังปฏิบัติกับพี่ใหญ่อย่างดี มักจะผ่อนผันให้ซ้ำๆ ทำให้ข้ากับน้องชายได้ดอดเข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่ในเรือนหลัง พูดคุยสักหลายประโยค…เป็นเขานี่ล่ะ มีครั้งหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่เรือนหลัง เขาหยอกเย้าพี่สาวใช้สองสามคนจนหน้าแดงใจเต้น หัวเราะระรื่นดังกิ่งบุปผาสั่นไหว ขณะที่พี่สาวข้ากลับลากข้าและน้องชายหมายจะหลบเลี่ยง แต่…เลี่ยงไม่พ้น…” ริมฝีปากเผยออ้าหุบ อ้ำอึ้งพักหนึ่งจึงค่อยเปล่งเสียงอีก…
“ภายหลัง…ภายหลังมีครั้งหนึ่งเข้าเมืองไปหาพี่ใหญ่อีก ท่านป้าอายุมากที่เฝ้าประตูกระอึกกระอักเป็นนานสองนาน กล่าวว่าสองสามวันก่อนพี่ใหญ่ถูกเรียกไปในห้องของคุณชายใหญ่ จากนั้นก็ไม่เห็นคนอีก ยังพูดว่า…ยังพูดว่ากลางดึกแอบเห็นคนข้างกายคุณชายใหญ่ลักลอบลากรถออกไป ท่านป้าอายุมากไม่กล้าพูดมากความ เป็นข้าที่คุกเข่าลงทุกวิถีทาง นางถึงได้พูดประโยคนี้มา ให้ข้าไปดูที่ป่าช้านอกชานเมือง บางทีอาจได้พบเห็นอะไรสักเล็กน้อย…”
เด็กสาวคลี่ยิ้มอิดโรย “ข้าตามหาพี่สาวของข้าพบ นางถูกฝังอย่างลวกๆ ร่างกายยังถูกฝูงสุนัขเร่ร่อนคุ้ยคาบออกมาแย่งอาหารกัน ยังดี…ยังดีที่ใบหน้าครบสมบูรณ์ หาไม่ข้าคงจำไม่ได้จริงๆ…ข้าคงจำนางไม่ได้”
เด็กสาวไม่ได้ร้องไห้ เด็กชายก็ไม่ร้องเช่นกัน น้ำตาทั้งหมดเอ่อปริ่มขอบตามิได้หยาดหยดลงมา
ฉินชิวลอบเลื่อนสายตาไปยังหญิงสาวที่ไม่เอ่ยวาจาแม้สักคำอย่างเงียบเชียบ สีหน้าของฝ่ายหลังไม่ผิดไปจากที่เขาคิด เรียวคิ้วดวงตาราบเรียบราวกับไม่สะทกสะท้าน ความรู้สึกละเอียดอ่อนทั้งหมดซ่อนเร้นอยู่ใต้ใบหน้าไร้อารมณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้ วิธีการที่นางใช้ปลอบโยนคนจึงตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ ทั้งยังแข็งแกร่งและทรงพลัง
“ศีรษะนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เน่าไม่เละ แขวนตากแดดไม่กี่วันก็สามารถผึ่งจนแห้งสนิท ให้เจ้ากับน้องชายใช้เตะเล่นได้ แล้วยังทนทานต่อการเตะอย่างยิ่ง” นางนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “อืม…ยังเอามาใช้เล่นปาเสียบกาก็ได้เช่นกัน ข้าสามารถสอนพวกเจ้าเล่นได้ หรือไม่จะให้น้องชายเจ้าใช้เป็นกระโถนยามราตรี ด้านในกลวงโบ๋ ด้านนอกยังมีหนังหุ้มไว้ชั้นหนึ่ง หนึ่งคืนรองปัสสาวะสามหนไม่เป็นปัญหา น่าเสียดายที่ไม่เหมาะให้ท่านย่ากับเจ้าใช้ปลดเบา แต่น้องชายเจ้าใช้ปลดเบาได้พอดิบพอดี การเล็งความแม่นยำจะดีกว่าหน่อย ไม่ต้องกลัวกระเซ็นออกมา”
ฉินชิวอยากอดกลั้นให้ได้ แต่ก็กลั้นไม่อยู่
นางพูดถ้อยคำเช่นนั้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จี้ถูกจุดหัวเราะของเขาอย่างตรงเผง หากอยากแสร้งสลบต่อนั้นไม่อาจทำได้อย่างแท้จริง เคราะห์ดีที่ความสามารถในการควบคุมตนเองของเขาล้ำเลิศ ตอนชั่วเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้กลับฝืนสะกดอาการขำพรืดให้กลายเป็นแค่นเสียงเฮอะต่ำๆ ได้
ดวงตาสามคู่กวาดมองไปที่เขาพร้อมกัน
ใบหน้าหญิงสาวผุดแววประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก ขณะที่เด็กสาวหรี่ดวงตาย่นจมูกท่าทางระวังป้องกันฉายชัด ส่วนสายตาที่เด็กชายทอดมองมากลับมีแววอยากรู้อยากเห็นมากกว่าหวาดระแวง
ฉินชิวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง มองไปยังศีรษะบนโต๊ะ ก่อนหันไปมองพวกเขาสามคน น้ำเสียงแหบแผ่วเอ่ยกึ่งล้อเล่น
“ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น มากสุดก็เห็นแค่กระโถนยามราตรี อย่าฆ่าข้าปิดปากเลยนะ”