ผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ บ้านเรือนแทบทุกหลังล้วนเป็นแค่ห้องสองสามห้องมาสร้างไว้รวมกัน ไม่มีห้องแขกที่มากเกินจำเป็น ในเมื่อแขกที่มาโดยไม่คาดคิดฟื้นคืนสติ อย่างไรก็ไม่เหมาะจะยึดครองเตียงเตาอุ่นๆ ของผู้เป็นเจ้าของบ้านต่อ
“…ข้ากำลังกระโดดข้ามลำธารสายเล็กจะเข้าหมู่บ้านมาหาอาเหยากับอาเฮ่า พลันเห็นเงาสีดำวาบพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนบ่าคนผู้นั้นยังแบกคนเอาไว้ นั่น…นั่นเป็นเสื้อหลากสีที่ท่านเคยสวม ข้าจำได้”
อูลั่วซิงพาบุรุษรูปงามที่ถูกลักพาตัวในคืนนี้ข้ามผ่านป่าเขาของชานเมืองตะวันตกทีละก้าวๆ มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองหลวงพลางเอ่ยอธิบายเรื่องราว
นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกสักหน่อย จึงเอ่ยต่อว่า “ท่านสลบไป เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทั่วร่างเย็นเฉียบ…อย่างไรก็ต้องการที่อบอุ่นสักแห่งพักก่อนจึงจะดี ดังนั้นข้าจึงพาท่านไปยังหมู่บ้าน”
ในยามนี้หากไม่กล่าววาจานั้นย่อมประหลาดเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้นางที่พูดน้อยมาตลอดจึงอดเอ่ยอีกไม่ได้
“อาเหยากับอาเฮ่าก็คือพี่น้องคู่นั้นที่นำเตียงเตาอบอุ่นออกมาให้ยืมในคืนนี้ พวกเขาแซ่หนี หนีเหยากับหนีเฮ่า ก่อนนี้พวกเขายังมีพี่สาวคนโตอีกคนนามว่าหนีหง ปีนี้เพิ่งอายุครบสิบหก พ่อแม่ป่วยถึงแก่กรรมจากไปติดๆ กัน พวกเขาสามคนพี่น้องจึงอาศัยอยู่ร่วมกับผู้เป็นย่า กระทั่งหนีหงนาง…นาง…”
“จนกระทั่งแม่นางหนีผู้อายุสิบหกเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัว ตนเองลงนามเป็นสาวใช้ของจวนจงหย่งกง หลังจากนั้นก็จบชีวิตใต้เงื้อมมือของคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกงที่ไม่มีข้อจำกัดทั้งเนื้อผัก กินไม่เลือกทั้งหญิงชาย นอกจากนี้ยังโดนทิ้งในป่าช้าชานเมืองปล่อยให้สุนัขเร่ร่อนกัดกินตามใจ…” ฉินชิวเอ่ยปากขึ้นกะทันหัน เอ่ยสิ่งที่นางพูดไม่จบออกมาทั้งหมด
“แม่นางอูกับพี่น้องสกุลหนีสนิทสนมกัน ทนเห็นพวกเขาได้รับความอยุติธรรมไม่ได้ จึงออกหน้าเสี่ยงอันตราย ทุ่มเทสุดตัว บุกเดี่ยวยามราตรีเข้าไปในจวนจงหย่งกง เอาชีวิตคุณชายใหญ่ยังไม่พอ ยิ่งต้องตัดศีรษะอีกฝ่ายนำกลับมาให้เด็กชายเด็กหญิงสองคนเป็นสิ่งปลอบขวัญที่จริงแท้จับต้องได้…เจ้ายุ่งมากจริงๆ มิน่าคืนนั้นจึงรีบร้อนจะไป จากไปโดยไม่ลา”
…ไยจึงพูดถึงจากไปโดยไม่ลาขึ้นมาอีกเล่า
อูลั่วซิงจุกในลำคอทันใด พลันฉุกคิดขึ้นได้
นางนึกว่าตนเองพูดกับเขาชัดเจนแล้ว แท้จริงทั้งหมดเกิดขึ้นในห้วงฝันพิสดารนั้น และในเมื่อเป็นฝัน เขาย่อมไม่อาจอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่อาจได้ยินคำอธิบายของนาง ตอนนี้เขายังขุ่นเคืองที่นางจากไปโดยไม่ลา นี่ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้ เพียงแต่จะให้ชี้แจงกระจ่างตั้งแต่ต้นอีก นางกลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยจากที่ใด
ออกจากห้วงฝัน นางยังคงคุ้นเคยกับสีหน้าไร้อารมณ์ คุ้นเคยกับการนิ่งเงียบ วาจาของคืนนี้ก็ได้พูดมากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ
ฝีเท้าบุรุษด้านหลังจู่ๆ ก็ซวนเซ นางเอื้อมมือไปประคองเขาด้วยสัญชาตญาณ ตามด้วยส่วนข้อมือพลันกระชับ โดนเขาพลิกฝ่ามือมากุมไว้
“ที่แท้ตอนอยู่ที่บ้านสกุลหนีท่านก็ได้ยินทั้งหมด…ข้ายังนึกว่าท่านสลบไสลไปโดยสิ้นเชิงเสียอีก” นางพูดงึมงำขึ้น
ตอนที่นางย่างเท้าออกไปอีกครั้ง มือของฉินชิวก็คว้ามือนางไว้อีกครา
นางมิได้พยายามสะบัดมือ มิได้ต่อต้านและไม่ถอยหนีแต่อย่างใด นี่สร้างความพึงพอใจแก่เขาอย่างใหญ่หลวง เพียงใบหน้าเขาไม่แสดงออก ทั้งน้ำเสียงก็ยังคงติดจะเย็นชา “สลบไปถึงที่สุดอย่างไรก็ต้องมีตอนที่ฟื้นขึ้นมากระมัง ข้าได้ฟังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าก็พอไขความกระจ่างว่าเป้าหมายที่เจ้าลอบสังหารคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกงคืออะไร”
จากนั้นเขาก็หัวเราะแผ่วเบาพลางเอ่ยต่อ
“นิสัยนี้ของแม่นางอู บนท้องถนนเห็นความไม่ยุติธรรมก็อยากชักดาบเข้าช่วย ทำเพื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้แต่วังมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็บุกฝ่าไปได้ ค่าตอบแทนสักครึ่งก็มิได้รับ ตามสิ่งที่ข้าเห็น แม่นางอูมิใช่ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนักฆ่าเลยจริงๆ กลับคล้ายจอมยุทธ์หญิงที่ยึดคุณธรรมของชาวยุทธ์ออกช่วยผู้อ่อนแอไปทั่วสารทิศมากกว่า”
อูลั่วซิงไม่เคยรู้สึกว่าตนเองโง่เขลา แต่นางฟังไม่ออกถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดเขาเลยจริงๆ คล้ายกำลังเย้ยหยันนาง และยังเหมือนพูดความจริงในใจอีกด้วย
นางโต้แย้งขึ้นเสียงทุ้มอย่างดูไม่ค่อยหนักแน่นนัก “ข้าได้รับค่าตอบแทน อาเหยากับอาเฮ่ามีของให้ข้า…”
“จริงด้วย ข้าก็เหลือบเห็นเช่นกัน ก่อนจากไปพี่น้องสกุลหนีมอบไข่ใบชาให้เจ้าสองฟอง ค่าตอบแทนที่แม่นางอูพูดถึงก็คือไข่สองฟองนั้นใช่หรือไม่”
“แล้ว…มีอันใดไม่ได้” อูลั่วซิงฝืนดึงดัน “ท่านย่าสกุลหนีอาศัยการขายไข่ใบชาเลี้ยงดูหลานๆ จนเติบโตขึ้นมา นอกจากนี้ไข่ใบชาของสกุลหนียังต้มได้อย่างอร่อยเหลือหลาย นั่นก็คือค่าตอบแทน”
นางได้ยินเขาหัวเราะเสียงต่ำ