หากสามารถจ้องตาของเขาตรงๆ มองท่าทีของเขาชัดแจ้ง บางทีอาจเข้าใจเขาง่ายขึ้นบ้าง แต่นางพบว่าตนเองไม่ค่อยกล้ามองเขาตรงๆ กลัวว่ามองไปมองมา สองตาจะจับจ้องไปที่กลีบปากของเขาโดยไม่รู้ตัว และเผลอนึกถึงรสชาติยามริมฝีปากเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันในฝัน จากนั้น…จากนั้น…
จากนั้นเป็นไปได้มากว่านางอาจถูกผีสิง และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกระทำเรื่อง ‘ฟ้าดินอภัยไม่ได้’ กับเขา!
เป็นไปได้มากว่าคืนนี้เขาอาจจะ ‘เพิ่งออกจากรังสุนัขก็เข้าปากพยัคฆ์อีก’ ผลสุดท้ายจบเห่ในมือนาง
ล้วนเพราะฝันประหลาดน่าตายนั่น!
นางกัดฟันโดยแรง สะบัดความคิดเละเทะยุ่งเหยิงออกจากหัว ไม่สนใจว่าเขาจะมีความนัยในคำพูดหรือไม่ ก็เอ่ยไต่ถามไปตรงๆ “คนที่ลักพาตัวท่านจากสำนักชิงเยี่ยนเป็นใคร คุณชายรู้จักฝ่ายตรงข้ามหรือไม่”
“แน่นอนว่ารู้จัก” ฉินชิวไม่พูดมากความอะไรกับการที่นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยฉับพลันนี้
“คนผู้นั้นเป็นใครหรือ” เสียงคำถามของนางเผยประกายโทสะเล็กน้อย
ฉินชิวเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามยิ้มๆ “ทำไมหรือ แม่นางอูคงมิได้อยากยึดหลักคุณธรรมชาวยุทธ์ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ไปทวงคืนความยุติธรรมแทนข้าอีกกระมัง”
อูลั่วซิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพลันหันหน้าปรายตามองเขาวูบหนึ่ง “หากถูกรังแก แน่นอนว่าต้องเอาคืนเป็นทวีคูณ มีอันใดไม่ถูกต้องเล่า”
“หากกล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่าแม่นางอูถือข้าเป็นคนของตนเอง เห็นข้าได้รับความไม่เป็นธรรม แม่นางอูปวดใจและรู้สึกแย่อย่างมากใช่หรือไม่”
นางใจเต้นแรงขึ้น ไอร้อนแผ่กระจายจากใบหูและฝืนเอ่ยอย่างสงบ “คุณชายมีบุญคุณกับข้า บุญคุณนี้ต้องตอบแทน ท่านได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าย่อมต้องออกหน้าแทน”
อูลั่วซิงมิได้เอ่ยตอบโดยตรงและก็มิได้ปฏิเสธ ฉินชิวรู้สึกอารมณ์ดีเป็นทบทวี ระหว่างเดินในป่ามืดทึบแทบอยากร้องครวญเพลงออกมาแผ่วเบา ถึงขนาดรู้สึกว่ายามนี้ไม่มีพิณคันหนึ่งอยู่ข้างกายช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง
“คนผู้นั้นเป็นหนึ่งในแขกผู้มีพระคุณที่หอซือเฟยของข้า หลังจากสำเริงใจหนหนึ่งแปดส่วนด้วยเพราะติดใจในรสชาติมิรู้ลืม อาศัยที่ตนเองมีวรยุทธ์ไม่อ่อนด้อยลักพาตัวข้าออกมา แค่คิดอยากเที่ยวสำนักชายบำเรอโดยไม่จ่ายเงินก็เท่านั้น” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยอีก “คนระยำที่อยากกินไม่จ่ายดื่มไม่จ่ายเที่ยวสำนักชายบำเรอไม่จ่าย ในสำนักชิงเยี่ยนพบเจอได้ทุกวัน แต่ก่อนข้าก็มิใช่ไม่เคยพบ อย่างไรก็ไม่อาจให้พบครั้งหนึ่งก็ส่งเจ้าไปทวงความยุติธรรม กระทำเช่นนี้ทุกวัน เจ้าเป็นได้ยุ่งหัวหมุนพอดี”
เขาพูดอย่างสงบนิ่งเบาสบาย ทว่าอูลั่วซิงได้ฟังพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก
นึกถึงคืนนั้นเขาถูกบังคับให้รับแขก นางเคยห้ามปรามเขามิให้ลำบากตนเองอย่างไม่เจียมตัว เขาย้อนถามนางว่า ‘…อาชีพฆ่าคนเป็นสิ่งที่เจ้าชมชอบ?’
พูดให้กระจ่างก็คือนางมิใช่กำลังทำให้ตนเองลำบากเช่นเดียวกัน?
นางไม่มีต้นทุนใดซ้ำยังไม่มีสิทธิ์ไปว่ากล่าวติติงเขา ราวกับ…มากที่สุดที่ทำได้ก็คือเฝ้าปกป้องอย่างเงียบๆ เท่านั้น การตระหนักได้นี้ทำให้จิตใจของนางหนักอึ้งเล็กๆ ก้อนอิฐไร้รูปอุดกั้นอยู่ในทรวงอก
นางกลับไม่รู้ว่าการเงียบงันโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของตนเองจะเป็นเหตุให้บุรุษขมวดคิ้วมุ่น ข้อมือนางถูกเขาดึงรั้งคราหนึ่ง นางนึกว่าเขาฝีเท้าไม่มั่นคง ยังผลให้นางหมุนตัวไปประคองอีกครั้ง
แต่ปรากฏว่า…
“แม่นางอูมิใช่อยากตอบแทนบุญคุณหรอกหรือ” บุรุษหอบน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ป่านี้กว้างเกินไป เดินเหน็ดเหนื่อยแล้วจริงๆ ต้องลำบากแม่นางอูแบกข้าเที่ยวหนึ่ง ส่งข้ากลับไปแล้ว”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ม.ค. 64